วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

โซ่ chain เพลา SHAFT หรือ สายพาน Belt

ความเห็นนี้เป็นการวิเคราะห์เฉพาะรถมอไซค์ (บิ๊คไบค์อย่างเดียวนะครับ) เท่านั้น ไม่เกี่ยวกับรถยนต์ หรือ มอเตอร์ไซค์เล็ก ที่เป็นมอเตอร์ไซค์ตลาดทั่วไป  จะไม่เอ่ยว่าระบบใดดีกว่ากัน เพราะทุกระบบมีข้อเด่นหมด มีข้อด้อยหมด แตกต่างกันครับ โปรดใช้วิจารณญาณในการเลือกใช้ตามความเหมาะสมครับ

1:ขับเคลื่อนด้วยโซ่ (CHAIN)
พบเห็นได้ทั่วไปเนื่องจากว่าเป็นระบบขับเคลื่อนมอไซค์พื้นฐานที่มีราคาถูกที่สุด จึงนิยมแพร่หลาย

ข้อเด่น
  1. ชิ้นส่วนมีราคาถูก หาซื้อได้ทั่วไป 
  2. ปรับอัตราทดได้ง่ายและประหยัดที่สุด จึงนิยมทำการปรับแต่งมากกว่าแบบอื่น
  3. การสูญเสียกำลังขับส่งถ่ายไปสู่ล้อหลังไม่มาก จึงเหมาะกับพวกรถสปอร์ตที่ต้องการความเร็ว 
  4. การออกแบบระบบกันสะเทือนหลังง่ายกว่า ประหยัดกว่า ใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่า จึงมีน้ำหนักเบา 
ข้อด้อย
  1. เสียงดังกว่าระบบอื่นๆ
  2. ต้องคอยหมั่นบำรุงรักษาตลอด ไม่ว่าจะเป็นการทำความสะอาดโซ่ สเตอร์ การปรับตั้ง การหล่อลื่น
  3. ชิ้นส่วนการขับเคลื่อนถือเป็นวัสดุสิ้นเปลือง เป็นชิ้นส่วนที่มีการสึกหรอได้ จึงต้องคอยเปลี่ยนอุปกรณ์ตามการสึกหรอ
  4. เลอะเทอะ เนื่องจากโซ่จะดีด ทั้งน้ำมันหล่อลื่อโซ่ ฝุ่นผง ตลอดจนของเหลวบนถนนที่เกาะโซ่ กระเด็ดดีดขึ้นมาอยู่ตลอดเวลาตามสภาพถนนและการหยอดน้ำมันโซ่

2:ขับเคลื่อนด้วยเพลา (SHAFT)
ผู้นำระบบขับเคลื่อนแบบนี้ ที่รู้กันโดยทั่วไปก็คือ BMW, Moto Guzzi ระบบเพลาจะใช้ในมอเตอร์ไซค์ที่เน้นแรงบิดเยอะเป็นหลัก ความเร็วรอบไม่สูงมาก ทนทานต่อแรงกระชากมากๆ ส่วนมากใช้ในรถทัวร์ริ่งเน้นทนทานวิ่งไกลไม่เน้นความเร็วสูง เพราะ...เน้น แรงบิดเยอะเป็นหลัก ไม่เน้นขี่ความเร็วสูง ส่วนมากใช้ในรถสไตล์ทัวร์ริ่งเน้นทนทานวิ่งไกลแต่ไม่เน้นความเร็วสูง

ข้อเด่น
  1. ทนทาน อายุใช้งานที่ยาวนานที่สุด สุด สุด 
  2. เกือบไม่จำเป็นต้องดูแลรักษาเลย (Maintenance Free) ยกเว้นการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเฟืองทุกระยะ 20000-40000โล แค่นั้น
  3. เป็นระบบปิด (Total Enclosed) ระบบขับเคลื่อนจึงไม่มีการสัมผัสกับฝุ่นทราย หรือสิ่งแปลกปลอมอื่นๆจากภายนอก
  4. การออกแบบการวางเครื่อง สามารถทำได้บรรเจิด เนื่องจากวางได้ทั้งตามแนว และตามขวาง
  5. นิ่มนวลกว่าใช้ระบบโซ่ขับเคลื่อน 
  6. เน้นพละกำลังการขับเคลื่อนที่มากกว่า จึงเหมาะใช้กับเครื่องยนต์ที่ให้แรงบิดสูง (High Torque) ถ้าใช้อย่างอื่นจะเสียหายได้ง่ายกว่า
ข้อด้อย
  1. สูญเสียกำลังขับส่งถ่ายไปสู่ล้อหลังมากกว่าระบบอื่น มีเฟืองขบกันหลายตัว อุปกรณ์ร่วมหลายชิ้น ทำให้มีน้ำหนักมากกว่าระบบอื่น 
  2. การออกแบบระบบกันสะเทือนหลังยากกว่า และวัสดุที่ใช้ทำเพลา เฟือง และระบบขับเคลื่อนภายใน ต้องใช้ชิ้นส่วนที่ทำจากวัสดุราคาแพง เนื่องจากวัสดุต้องมีค่า Strength  สูงมาก ทนต่อแรงบิดสูงๆได้ดี (เช่น CrMo ที่มีค่า strength สูงกว่าสแตนเลสประมาณ 10 เท่า)

3:ขับเคลื่อนด้วยสายพาน (Belt)
ส่วนใหญ่ที่เห็นได้ในระบบขับเคลื่อนด้วยสายพาน ก็พวกมอไซค์แบบออโตเมติคทั่วไป หรือแบบสกูเตอร์ หรือบิ๊คสกูเตอร์ เช่น ฟีโน่ สกูปี้ เจลาโต้ ทีแม็กซ์ สกายเวป แต่ถ้าไม่ได้เป็นรถเล็กแล้วละก็ชาวไบค์ก็มักจะนึกถึงแต่ Harley Davidson และ Big Scooter แค่นั้น (แม้ BMW จะมีระบบขับเคลื่อนด้วยสายพาน แต่ชาวไบค์ก็มักจะมองข้าม เพราะ BMW นั้น เน้นระบบเพลามากกว่า)

ข้อเด่น
  1. เงียบ การขับเคลื่อนนุ่มนวล
  2. ไม่ต้องหมั่นดูแลรักษาเหมือนโซ่
  3. การสูญเสียกำลังขับส่งถ่ายไปสู่ล้อหลังไม่มาก การออกแบบระบบกันสะเทือนหลังง่ายกว่า ประหยัดกว่า ใช้ชิ้นส่วนน้อยกว่า จึงมีน้ำหนักเบา  
  4. ไม่จำเป็นต้องใช้การทดรอบแบบตายตัว (เฉพาะมอไซค์สกูเตอร์แบบออโตเมติก)
ข้อด้อย
  1. ทนแรงกระชากมากไม่ได้  ฉีกขาดได้ง่ายที่สุด ต้องคอยระวังสิ่งของมีคมต่างๆที่อยู่ตามท้องถนนไม่ว่าจะเป็นเศษหิน เศษไม้ ต่างๆกระเด็นจากรถคันอื่นมาดีดถูกสายพาน
  2. ต้องคอยระแวดระวังสายพานจากน้ำมันที่อาจจะหยด จากการไล่น้ำมันเบรค หรือพวกสเปรย์น้ำมันอเนกประสงค์ต่างๆ ขณะบำรุงรักษาชิ้นส่วนอื่นๆของมอไซค์
  3. สายพานถือเป็นวัสดุสิ้นเปลือง ที่ต้องคอยเปลียนตามอายุการใช้งาน แม้ระยะทางไม่ถึง แต่อายุถึง ก็ควรเปลี่ยนทิ้ง เนื่องจากสายพานเสื่อมสภาพได้ง่ายที่สุด
  4. หาซื้ออะไหล่ยาก ลำบากกว่าโซ่มาก และมีราคาแพง ส่วนใหญ่ต้องเป็นร้านเฉพาะ หรือศูนย์ที่ขายรถเฉพาะยี่ห้อนั้นๆเท่านั้น  (ไม่นับรวมมอไซค์ออโตเมติกที่เป็นรถตลาด ไม่เกิน 200cc)

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Bobby Fischer


        เมื่อบ็อบบี ฟิชเชอร์ (Bobby Fischer) ถูกจับในญี่ปุ่นเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2547 ผมบอกไม่ถูกว่าดีใจหรือเสียใจ ด้านหนึ่งผมรู้สึกดีใจที่ได้ข่าวคราวเกี่ยวกับฟิชเชอร์ อีกด้านหนึ่งรู้สึกเสียใจที่ฟิชเชอร์สูญเสียอิสรภาพ
     
       ผมชอบกีฬาหมากรุกเป็นชีวิตจิตใจ เคยนั่งเล่นหมากรุกตั้งแต่รับประทานอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยไปจนถึงรุ่งสาง เมื่อมีการแข่งขันหมากรุกระหว่างประเทศ ก็เฝ้าติดตามชนิดเกาะติด ทุกวันนี้ เมื่ออ่าน The Financial Times ฉบับวันเสาร์-อาทิตย์ คอลัมน์หมากรุกเป็นคอลัมน์แรกที่เลือกอ่าน ความข้อนี้รวมถึงนิตยสาร The Spectator ด้วย
     
       ผู้คนที่คลั่งไคล้กีฬาหมากรุก คงไม่มีใครที่ไม่รู้จักบ็อบบี ฟิชเชอร์ ผมเองนอกจากจะชื่นชมอัจฉริยภาพด้านหมากรุกของฟิชเชอร์แล้ว ยังมีโอกาสพัฒนาทักษะการเล่นหมากรุกด้วยการอ่านหนังสือที่ฟิชเชอร์แต่งอีกด้วย ผมเข้าใจว่า ฟิชเชอร์เขียนหนังสือหมากรุกเพียง 2 เล่ม อันได้แก่ Bobby Fischer Teaches Chess (1966) และ My 60 Memorable Games (1969) แต่มีผู้เขียนหนังสือเกี่ยวกับฟิชเชอร์นับสิบเล่ม
     
       บ็อบบี ฟิชเชอร์ เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2486 ณ นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา บิดาเป็นชาวเยอรมันอพยพ มีอาชีพเป็นนักฟิสิกส์ มารดาประกอบหลายอาชีพ ตั้งแต่ครู นางพยาบาล และแพทย์ บิดามารดาหย่าร้างกัน โดยมารดาเป็นผู้เลี้ยงดูฟิชเชอร์ตั้งแต่เยาว์วัย
     
       ฟิชเชอร์เริ่มหัดเล่นหมากรุกตั้งแต่อายุ 6 ขวบ ครั้นเมื่ออายุ 13 ขวบ มารดาขอให้จอห์น ดับบลิว คอลลินส์ (John W. Collins) เป็นครูสอนหมากรุก คอลลินส์เป็นครูหมากรุกที่มีชื่อเสียง ลูกศิษย์หลายคนเป็นนักหมากรุกชั้นยอดของสหรัฐอเมริกา ดังเช่นโรเบิร์ต ไบร์น (Robert Byrne) และวิลเลียม ลอมบาร์ดี (William Lombardy) ฟิชเชอร์สนิทกับครูคอลลินส์มาก บางครั้งคลุกอยู่ในบ้านคอลลินส์เกือบตลอดทั้งวัน จนเข้าใจกันทั่วไปว่า ฟิชเชอร์นับคอลลินส์เป็นพ่อบุญธรรม
   ฟิชเชอร์ชอบเก็บตัว และมีปัญหามนุษยสัมพันธ์ เข้ากับคนอื่นมิได้ เมื่อเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษา ต้องออกจากโรงเรียนกลางคัน และหันไปเอาดีในการเล่นหมากรุก จนได้ตำแหน่งชนะเลิศ U.S. Junior Championship ในปี 2499 ต่อมาจึงเขยิบขึ้นเป็นเล่นกับนักหมากรุกชั้นยอด เกมการแข่งขัน Fischer v Donald Byrne ในปี 2499 ได้รับยกย่องว่าเป็น The Game of the Century ในที่สุด ฟิชเชอร์ก็ได้ครองตำแหน่งชนะเลิศหมากรุกแห่งสหรัฐอเมริกาในปี 2501 และมีสิทธิที่จะเข้าแข่งขันชิงชนะเลิศระดับโลก
       
       ฟิชเชอร์เขยิบขึ้นไปเป็น International Grandmaster และค่อยๆ คืบคลานไปแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลก ไล่ปราบมาร์ก ไตมานอฟ (Mark Taimanov) เบนต์ ลาร์สัน (Bent Larson) และท้ายที่สุดติกราน เปโตรเซียน (Tigran Petrosian) อดีตแชมป์โลกจนมีสิทธิที่จะแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลกจากบอริส สปาสสกี (Boris Spassky) ในปี 2514
       
       ตำแหน่งแชมป์หมากรุกโลกผูกขาดโดยนักหมากรุกชาวรัสเซีย ตลอดช่วงเวลาหลังสงครามโลก ฟิชเชอร์โจมตีว่า ระเบียบการแข่งขันเปิดช่องให้นักหมากรุกรัสเซียยึดพื้นที่ได้มากกว่านักหมากรุกชาติอื่น เพราะนักหมากรุกชาติอื่นต้องฝ่า "ดงตีน" นักหมากรุกรัสเซีย กว่าจะหลุดเข้าไปชิงตำแหน่งแชมป์โลกกับนักหมากรุกรัสเซียอีกเช่นกัน
       
       การชิงชนะเลิศหมากรุกโลก ณ กรุง Reykjavik ประเทศไอซ์แลนด์ในปี 2515 นอกจากจะเป็นการประกาศศักดาในกีฬาในร่มประเภทนี้แล้ว ยังเป็นการทำสงครามเย็นขั้นสุดท้ายอีกด้วย ในเมื่อเป็นครั้งแรกที่นักหมากรุกอเมริกันสามารถหลุดเข้ากับชิงตำแหน่งกับนักหมากรุกรัสเซียได้
       
       ในเวลานั้น ฟิชเชอร์อารมณ์แปรปรวน และส่ออาการโรคประสาท ฟิชเชอร์มีข้อเรียกร้องคณะกรรมการผู้จัดการแข่งขันต่างๆ นานา ไม่ต่างไปจากการขออภิสิทธิ์ มีรายงานข่าวว่า ฟิชเชอร์เลาะสารที่ใช้อุดฟันออกจากปากทั้งหมด เพราะเกรงว่า รัสเซียจะส่งคลื่นวิทยุรบกวนสมองขณะกำลังแข่งขัน แม้คณะกรรมการผู้จัดการแข่งขันจะเอาใจฟิชเชอร์มากปานใด แต่ฟิชเชอร์ทำท่างอแงจะไม่เข้าแข่งขัน จนมีรายงานข่าวว่า นายเฮนรี คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศ ต้องร้องขอแกมกดดันให้ฟิชเชอร์เห็นแก่ประเทศชาติ ฟิชเชอร์ปรากฏตัวเข้าแข่งขัน โดยที่ไม่แน่ชัดว่าเป็นเพราะฝีปากของนายคิสซิงเจอร์ หรือฝีมือของนายจิม สเลเตอร์ (Jim Slater) นายทุนชาวอังกฤษที่โปะเงินรางวัลอีก 125,000 ดอลลาร์อเมริกัน รวมเป็นเงินรางวัลทั้งสิ้น 250,000 ดอลลาร์อเมริกัน
       
       ฟิชเชอร์แพ้การแข่งขันในเกมที่หนึ่งอย่างชนิดมิควรจะแพ้ แต่แล้วกลับงอแงไม่เข้าแข่งขันในเกมที่สอง จนถูกปรับให้แพ้ เมื่อทำใจที่จะเข้าแข่งขันต่อไป ฟิชเชอร์ก็เดินเครื่องจนได้ตำแหน่งแชมป์โลก ฟิชเชอร์กลายเป็นวีรบุรุษแห่งสงครามเย็น เพราะสหรัฐอเมริกาชนะรัสเซียแม้แต่ในกระดานหมากรุก ไม่มีใครกล่าวขวัญถึงบอริส สปาสสกี ผู้แพ้ ทั้งๆ ที่สปาสสกีสมควรได้รับยกย่องให้เป็นสุภาพบุรุษแห่งสงครามเย็น ตลอดช่วงเวลาที่ฟิชเชอร์งอแง และแสดงอาการฟาดงวงฟาดงา สปาสสกีต้องสูญเสียสมาธิในการแข่งขันมากน้อยเพียงใด ไม่มีการกล่าวถึงในสื่อมวลชนอเมริกัน แม้สปาสสกีจะได้รับคำสั่งจากรัฐบาลโซเวียตให้ยื่นคำร้องให้ฟิชเชอร์แพ้การแข่งขัน เนื่องจากไม่เข้าแข่งขันในเกมที่สอง สปาสสกีเมินเฉยต่อคำสั่งนั้น ผลที่ได้รับก็คือ เมื่อสปาสสกีกลับสู่มาตุภูมิ ก็ถูกรัฐบาลห้ามเดินทางออกนอกประเทศ
       
       อารมณ์อันแปรปรวนและสภาพจิตที่ไร้เสถียรภาพ ทำให้ฟิชเชอร์ไม่ยอมป้องกันตำแหน่งแชมป์โลกกับอนาโตลี คาร์ปอฟ (Anatoly Karpov) ในปี 2518 และถูก FIDE ถอดออกจากตำแหน่ง
       
       ฟิชเชอร์หายไปจากสังคม 20 ปี แต่ทนกลิ่นเงินกลิ่นทองมิได้ โผล่ขึ้นมาแข่งหมากรุกกับสปาสสกีคู่ปรับเก่าอีกในปี 2535 โดยมีการประโคมข่าวว่า เป็น Revenge Match of the 20th Century ด้วยเหตุที่การแข่งขันจัดในยูโกสลาเวีย และยูโกสลาเวียถูกสหประชาชาติคว่ำบาตร (Sanction) ในฐานก่อสงครามฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ฟิชเชอร์ได้รับจดหมายเตือนจากกระทรวงต่างประเทศแห่งสหรัฐอเมริกาในเรื่องนี้ เพราะการเข้าไปแข่งขันหมากรุกในยูโกสลาเวียโดยรับเงินรางวัล ถือเป็นการประกอบพาณิชยกรรม อันมีความผิดทางอาญา
       
       โทษทางอาญามิอาจยับยั้งฟิชเชอร์ได้ แต่การแข่งขันที่เรียกว่า Revenge Match of the 20th Century จืดชืด ไม่ตื่นตาตื่นใจ เพราะคู่แข่งขันเลยวัยปราดเปรื่องและเรื้อเวที
       
       ภายหลังการแข่งขันปี 2535 ฟิชเชอร์หายตัวไปอีกครั้งหนึ่ง โดยที่เข้าใจกันว่า ฟิชเชอร์หลบซ่อนอยู่ในยุโรปตะวันออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งฮังการี แล้วโฉบมาอยู่อาเซียบูรพา เดินทางเข้าออกระหว่างฟิลิปปินส์กับญี่ปุ่น ฟิชเชอร์มิได้กลับไปสหรัฐอเมริกาอีกเลย ไม่ได้แม้แต่ร่วมงานศพมารดาและพี่สาว
       
       ฟิชเชอร์ถูกจับ ณ สนามบินนาริตะ ในนครโตเกียว ในขณะที่กำลังเดินทางไปฟิลิปปินส์ โดยมิได้เฉลียวใจว่า หนังสือเดินทางสิ้นอายุ ฟิชเชอร์ดิ้นรนจะขอลี้ภัยทางการเมือง แต่ญี่ปุ่นมีสัญญาการส่งผู้ร้ายข้ามแดนกับสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นคงต้องรักษาพันธสัญญา
       
       ในสายตาของชนชั้นปกครองอเมริกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลบุช ฟิชเชอร์เป็นไอ้ตัวร้าย เพราะเมื่อ World Trade Center ถูกผู้ก่อการร้ายถล่มเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 ฟิชเชอร์ให้สัมภาษณ์ Radio Bombo ใน Baguio City ประเทศฟิลิปปินส์ว่า เป็นข่าวดีอันสมควรแก่การปรบมือ ฟิชเชอร์กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาก่อกรรมทำเข็ญแก่มนุษยโลกเป็นอันมาก รวมทั้งการเกื้อกูลให้อิสราเอลเข่นฆ่าชาวปาเลสไตน์นานนับปี
       
       ฟิชเชอร์คงต้องเป็นผู้ร้ายข้ามแดน รัฐบาลอเมริกันมิอาจลงโทษฟิชเชอร์โดยอ้างบทสัมภาษณ์วิทยุดังกล่าวได้ แต่สามารถลงโทษโดยอ้าง "อาชญากรรม" ในยูโกสลาเวียได้
       
       บ็อบบี ฟิชเชอร์ คงต้องติดคุก เพราะเล่นหมากรุก
       
       แต่จอร์จ บุช จูเนียร์ ผู้ส่งกองทัพเข้าไปเข่นฆ่าประชาชนชาวอิรักผู้บริสุทธิ์ กลับลอยนวลอยู่นอกคุก

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

QUANTUM COMPUTING: BEYOND BINARY DIGITS

ในช่วงทศวรรศที่ 1830 – เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องแรกถูกสร้างขึ้นโดย ชาร์ลส์ แบบเบจ (Charles Babbage) เป็นเครื่องจักรไอน้ำขนาดใหญ่ที่สามารถโปรแกรมการทำงานได้ร้อยกว่าปีถัดมาใน สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง อลัน ทูริ่ง (Alan Turing) เปลี่ยนแนวคิดของแบบเบจให้กลายเป็นทฤษฎีพื้นฐานของการประมวลผลข้อมูลที่ใช้ ในคอมพิวเตอร์ปัจจุบันในช่วงเวลาเดียวกัน คล็อด แชนน่อน (Claude Shannon) ได้เขียนทฤษฎีสารสนเทศ (information theory) ขึ้นมาเป็นตัวรองรับการประมวลผลข้อมูลโดยใช้คอมพิวเตอร์ ทูริ่ง แชนน่อน และ จอห์น ฟอน นอยแมนน์ (John Von Neumann) ร่วมกันสร้าง ENIAC – Electronic Numerical Integrator and Calculator ซึ่งถือว่าเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ electronic เครื่องแรกของโลก ทำงานโดยพื้นฐานของลอจิก ‘0’ และ ‘1’ โดยอาศัยหลอดสุญญากาศเป็นสื่อแทนค่า 0/1 .. ในปี 1960 หลอดสุญญากาศก็ถูกแทนที่ด้วย transistor ต่อมาไม่นานก็มีการยุบ transistor หลายๆ ตัวรวมเป็นแผ่นวงจร ทุกวันนี้เราสามารถบรรจุทรานซิสเตอร์หลายล้านตัวอยู่ในแผ่นวงจรรวมขนาดไม่ กี่ตาราง mm .. ก็ที่เขาพูดๆ กันว่าเป็น 0.18 micron technology น่ะแหละ.. ถ้าเรายังคงย่อขนาดลงไปเรื่อยๆ สุดท้ายเราคงหนีไม่พ้นการสร้าง logic gate จากอะตอมหรืออนุภาคไม่กี่ตัว .. ปัจจุบันเราอาจจะสร้าง gate แบบนั้นได้โดย nanotechnology แต่ด้วยขนาดที่เล็กขนาดนั้นหมายถึงเรากำลังเดินข้ามขีดจำกัดของฟิสิกส์ คุณสมบัติของ logic gate จะต่างจาก gate ทั่วๆ ไป นักวิทยาศาสตร์ทราบดีว่าในระดับอนุภาค ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นยากที่จะใช้ฟิสิกส์ทั่วไปมาทำนายได้ .. แต่ก็ยังมีแขนงวิชาหนึ่งที่สามารถทำนายปรากฏการณ์ในโลกระดับ sub-atomic ได้นั่นก็คือกลศาสตร์ควอนตัม .. และนี่คือที่มาของ “Quantum computing”

..Quantum ?

เดี๋ยวๆๆ.. Quantum ที่ว่านี่ไม่ใช่ยี่ห้อฮาร์ดดิสก์นะครับ แล้วก็ไม่ใช่บริษัทขายของทางทีวีตอนดึกๆ ด้วย…. อย่างที่บอกล่ะครับว่าคำว่า quantum computing มีความเกี่ยวโยงกับทฤษฎีกลศาสตร์ควอนตัมซึ่งเป็นพื้นฐานที่ใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดในระดับอะตอมได้ สิ่งที่น่าสนใจใน quantum computing ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นคอมพิวเตอร์ที่ logic gate สร้างโดยใช้อะตอมไม่กี่ตัวหรอกครับ แต่เป็นสิ่งที่มันจะทำได้ต่างหาก .. จุดสำคัญของ quantum computing ก็คือมันเป็น “การประมวลผลแบบขนาน” .. ว้า .. ไม่เห็นแปลก การประมวลผลแบบมีมาตั้งนานแล้วนี่.. อืมม. ก็จริงครับ แต่ถ้าพิจารณาดูเราจะพบว่าการประมวลผลแบบขนานที่มีอยู่เป็นการเอา CPU หลายๆ ตัวมาทำงานพร้อมๆ กัน.. แล้วข้างใน CPU จริงๆ ก็ทำงานทีละคำสั่ง (sequential) กับข้อมูลทีละไม่กี่ bits แม้ว่าจะใช้ pipelining/vectorization มันก็ยังไม่พ้นการทำงานแบบ sequential อยู่ดีเพราะข้อจำกัดอยู่ที่รีจิสเตอร์ที่เก็บข้อมูลได้ตัวเดียวในเวลา หนึ่งๆ.. อ้าว.. แล้ว quantum computing ทำอะไรได้ดีกว่านี้ล่ะ ? .. ก็นี่แหละที่จะมาเล่าให้ฟัง
จะพูดถึง quantum computing เห็นจะหนีการอธิบายปรากฏการณ์ที่เกิดในระดับอะตอมไม่พ้นล่ะครับเพราะนั่นคือ สิ่งที่เราเอามาใช้ประโยชน์ล่ะ .. quantum mechanics มีประโยคยอดฮิตอยู่อันนึงกล่าวไว้ว่า “โลกในระดับ sub-atomic scale ไม่มีอะไรเหมือนโลกที่เราอยู่เลย” ความหมายก็คือกฏของฟิสิกส์ทั่วไปที่เคยอธิบายปรากฏการณ์ต่างๆ บนโลกแทบจะไม่มีประโยชน์ในการใช้อธิบายในระดับอนุภาค (เขียน e-mag เที่ยวนี้เลยต้องค้นเยอะมากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา.. เล่นเอาเหนื่อยเลย) .. ..ใครคล่องๆ เรื่องพวกนี้ พบที่ผิดตรงไหนก็บอกกันด้วยนะครับ .. ..เอาล่ะ ลองมาดูกัน .. ใน quantum mechanics มีปรากฏการณ์อยู่สองอย่างที่น่าสนใจและสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ นั่นก็คือ “coherent superposition” และ “entanglement” :
Coherent superposition สามารถสังเกตได้จากการทดลองนี้ครับ

เอา beamsplitter วางทำมุม 45 องศากับเครื่องยิงอนุภาคโฟตอน (photon – อนุภาคของแสง) แล้วก็เอา photodetector วางไว้ที่มุมสะท้อนของ beamsplitter อันนึง (A) และหลัง beamsplitter อันนึง (B) โดย A และ B มีระยะห่างจากจุดตกกระทบเท่ากัน ตัวbeamsplitter จะยอมให้แสงผ่านได้ 50% และสะท้อนแสง 50% การทดลองนี้จะยิง photo ทีละตัวให้ไปตกกระทบที่ beamsplitter โฟตอนแต่ละอนุภาคมี โอกาสสะท้อนแล้วไปปรากฏที่ A 50% หรืออาจจะทะลุไปปรากฏที่ B 50% ดังนั้นในการยิง photon หนึ่งตัว มันก็อาจจะสะท้อนไปปรากฏที่ detector A “หรือ” ทะลุกระจกไปปรากฏที่ B อันใดอันหนึ่งใช่มั้ยครับ ?… ถ้าตอบว่าใช่ละก็ “ผิด” ครับ สิ่งที่เกิดขึ้นในการทดลองนี้คือโฟตอน “หนึ่ง” ตัวนั้นวิ่งไปทั้ง “สอง” ทาง – ทั้งสะท้อนและทะลุกระจก – ไปปรากฏทั้งที่ A และ B ในเวลาเดียวกัน !! .. แปลว่าอะไรเนี่ย ?? ก็แปลว่าอนุภาคตัวเดียวสามารถปรากฏตัวได้สองตำแหน่งในเวลาเดียวกันน่ะสิครับ ที่จริงจะมีการทดลองอีกสองแบบต่อจากนี้ที่ยืนยันผลว่าโฟตอนตัวเดียวสามารถ ปรากฏตัวได้สองตำแหน่งในเวลาเดียวกันจริงๆ แต่ผมคิดว่าเอาเท่านี้คงพอเข้าใจการเกิด superposition ของอนุภาคได้ระดับนึงแล้ว…
Entanglementพบครั้งแรกใน EPR Experiment ปี 1935 การทดลองนี้ทำขึ้นโดย อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ บอริส โปโดลสกี้ และ นาธาน โรเซน (Albert Einstein, Boris Podolsky, และ Nathan Rosen) เพื่อจะหาตำแหน่งและวัด สปินของอนุภาคในขณะเวลาหนึ่ง .. ปัญหาก็คือการจะวัดค่าทั้งสองค่าได้เที่ยงตรงไม่สามารถทำได้เนื่องจากหลัก ความไม่แน่นอนของไฮเซนเบิร์ก (จำกันได้ไหมเนี่ย ?? – ยิ่งวัดค่านึงได้ถูกต้องเพียงไร ก็จะทำให้วัดอีกค่าได้ผิดพลาดมากขึ้น) ไอน์สไตน์ก็เลยหาทางเลี่ยงโดยใช้อนุภาคสองตัว สมมติเป็น A กับ B ซึ่งมีขนาดเท่ากัน แต่มี spin ตรงกันข้าม เอา A กับ B ยิงสวนกันด้วยความเร็วเท่ากัน (ความเร็วแสง) ทั้งสามเชื่อว่าวิธีนี้ทำให้วัดตำแหน่งของ A โดยตรงได้ แต่หลังจากวัดตำแหน่งของ A แล้วผลกระทบจากการวัดตำแหน่งจะทำให้ไม่สามารถวัดสปินได้ถูกต้องตามหลักความ ไม่แน่นอน จึงใช้วิธีวัด spin ของ B เพื่อหาการเปลี่ยนแปลง moment มาคำนวณหา spin ของ A อีกที.. .. อืมม.. ฟังดูก็น่าจะใช้ได้ใช่มั้ยครับ แต่ก็ผิดอีกแล้ว..ERP Experiment เป็นการทดลองที่ล้มเหลวครับ หลักของไฮเซนเบิร์ก ยังคงใช้ได้แม้แต่ในระดับอนุภาค ซึ่งตรงกับที่ทฤษฏีควอนตัมสมัยนั้นทำนายผลของ EPR Experiment เอาไว้ว่า “ผลกระทบจากการวัดค่าที่ A จะเกิดขึ้นกับ B ด้วย แม้ว่า A กับ B จะอยู่ห่างกันไกลแค่ไหนก็ตาม” จะพูดอีกอย่างก็คืออะไรที่เกิดขึ้นกับ A ก็จะเกิดกับ B ในลักษณะเดียวกัน !! .. ตรงนี้เองที่ทำให้ไอน์สไตน์ถกเถียงกับ นีล บอห์ร (Neil Bohr) ว่าทฤษฎี quantum ไม่สมบูรณ์ เนื่องจาก การที่ผลของ A จะมีกับ B ได้แสดงว่าจะต้องมี “information” หรือสัญญาณ หรือแรงบางอย่างที่ส่งระหว่าง A กับ B แต่อนุภาค A กับ B กำลังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสงออกห่างจากกัน ดังนั้นไม่ว่าสื่อที่เชื่อมระหว่าง A กับ B นั้นจะเป็นอะไร มันต้องเดินทางด้วยความเร็วมากกว่าแสงซึ่งเป็นไปไม่ได้ตามทฤษฎีสัมพันธภาพ พิเศษ .. การถกเถียงกันนี้ใช้เวลาหลายปีกว่าจะได้ผลสรุปว่า ทฤษฎีควอนตัมสมบูรณ์และถูกต้องแล้ว แม้ว่าทฤษฎีสัมพันธภาพพิเศษจะใช้อธิบาย EPR Experiment ไม่ได้แต่ก็ยังคงถูกต้องสมบูรณ์เช่นกัน …เกือบลืม…การทดลองนี้ทำให้เห็นว่าอนุภาคสองอันถ้าเตรียมถูกวิธีจะทำให้ มันมี “Entanglement” – อนุภาคสองตัวมีอะไรบางอย่างเป็นตัวผูกมันไว้ด้วยกัน แม้ว่าจะอยู่ห่างกันแค่ไหนก็ตามสิ่งที่เกิดกับอนุภาคนึงจะไปปรากฏกับคู่ของ มันด้วย (อันที่จริงอนุภาคของทั้งจักรวาลก็มี entanglement อยู่แล้ว) เราเรียกคู่อนุภาคนี้ว่ามันเกิด “quantum mechanically entangled” ระหว่างกัน .. การทดลองในปัจจุบันสามารถสร้าง entanglement ระหว่างอนุภาคในระยะราว 20 km. ..

Quantum Bits..

เอ้า..จบ เรื่อง quantum แล้ว ทีนี้ย้อนกลับมาที่คอมพิวเตอร์กัน ..เป็นที่รู้กันว่าการทำงานของคอมพิวเตอร์จริงๆ แล้วก็คือการประมวลผล “Binary Digit” หรือ bit ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สุดที่ใช้บอกสถานะการทำงานและข้อมูล ข้อมูล 1 bit มีสองสถานะคือ “0” กับ “1” ตามนิยามของเลขฐานสอง ในกรณีของ quantum computing จะใช้สถานะของอนุภาคเป็นตัวแทนของ bit แต่เนื่องจาก coherent superposition อนุภาคตัวเดียวจึงแทนได้ทั้งสถานะของ 0 และ 1 ในเวลาเดียวกัน (ไม่ใช่ “0 หรือ 1” นะครับ ..แต่เป็น “0 และ 1 ในเวลาเดียวกัน”) ทำให้เราสามารถ encode อนุภาคนั้นให้เป็นทั้ง 0 และ 1 ได้ในครั้งเดียว เราเรียกอนุภาคที่เป็นตัวแทนข้อมูลที่มีสองสถานะนี้ว่า “quantum bit” หรือ “qubit”
ใน information theory กล่าวไว้ว่าเมื่อเอาหลายๆ bits มาต่อกันก็จะสามารถแทนสถานะหรือข้อมูลได้หลายรูปแบบมากขึ้น อย่างเช่น register ขนาด 3 bits จะสามารถแทนได้ 8 สถานะเป็นต้น อย่างไรก็ตามในขณะเวลาหนึ่งจะมีเพียงสถานะเดียวปรากฏอยู่ใน register นั้น .. แต่ถ้าเราเปลี่ยน 3-bit register เป็น 3-qubit register จะกลายเป็นว่าในขณะเวลาหนึ่งจะมีทั้ง 8 สถานะปรากฏอยู่เพราะแต่ละ qubit เป็นทั้ง 0 และ 1 ในขณะนั้น.. ดังนั้น register ขนาด n qubits จะสามารถเก็บข้อมูลได้ 2n ตัวในครั้งเดียว .. นี่แหละครับที่มันต่างจาก computer ธรรมดาและต่างจากการประมวลผลแบบขนานที่เรารู้จักกัน เพราะ parallelism ใน quantum computing เกิดขึ้นตั้งแต่หน่วยที่เล็กที่สุดในการประมวลผล การทำงานจึงเป็นแบบขนานตั้งแต่ qubit เลยล่ะ การประมวลผลเพียงครั้งเดียวกับ qubit register จะเป็นการประมวลผลข้อมูลทั้งหมดที่มีอยู่ใน qubit register นั้น … ลองคิดเปรียบเทียบ n-qubit quantum computer กับ n-bit computer ดูนะครับ .. n-qubit quantum computer ประมวลผลข้อมูล 2n ตัวในครั้งเดียว ในขณะที่ n-bit computer ต้องประมวลผล 2n ครั้ง หรือใช้ computer 2n ตัวช่วยกันประมวลผล … ยิ่ง n มากเท่าไหร่ quantum computer ยิ่งได้เปรียบเยอะเพราะมันเพิ่มขึ้นแบบ exponential

Quantum Algorithms ?

ที่ จริงแล้วคอมพิวเตอร์ธรรมดาในปัจจุบันก็สามารถคำนวณหาคำตอบตามที่เราต้องการ ได้หมดแหละครับ แต่จะใช้เวลาเท่าไหร่เท่านั้นเอง ดังนั้นขีดจำกัดของคอมพิวเตอร์ทั่วไปจึงอยู่ที่เวลาและหน่วยความจำที่ใช้ใน การประมวลผล ปัจจุบันยังมีปัญหาจำนวนมากที่ไม่สามารถหาคำตอบได้เพราะใช้เวลานานเกินไป บางปัญหาจึงใช้วิธีการจำลองแบบ (simulation) เพื่อหาคำตอบแทน แต่การจำลองแบบระบบที่ซับซ้อนมากๆ ก็ยังต้องใช้เวลานานแม้จะใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่เร็วที่สุดในปัจจุบัน ..เอ้า..ว่ากันเป็นเรื่องเป็นราวซักหน่อย ..โดยทั่วไปเวลาในการประมวลผลจะขึ้นกับความซับซ้อนของปัญหา ในคอมพิวเตอร์เราแบ่งความซับซ้อนของปัญหาออกเป็น 4 classes ครับ คือ P-problems, NP-Problems, NP-complete problems และ Exponential problems:
  1. P-problems ก็คือปัญหาที่สามารถแก้ได้ในขอบเขตของ polynomial time/space – จำนวนครั้งในการประมวลผลอยู่ในขอบเขตของ nc เมื่อ n เป็นขนาดของปัญหาและ c เป็นค่าคงที่ที่หาได้แน่นอน ปัญหาระดับ P-problem ถือว่าเป็นแก้ได้ง่ายที่สุด และใช้ทรัพยากรน้อยที่สุด
  2. NP-problems เป็น nondeterministic polynomial time อธิบายง่ายๆ หน่อยก็คือแต่ละ n ต้องเดาว่าคำตอบคืออะไรและการจะหาว่าคำตอบนั้นถูกหรือไม่สามารถทำได้ใน ขอบเขตของ polynomial time/space ไม่ว่าคำตอบนั้นจะถูกหรือผิด มีปัญหาหลายๆอันที่นักคณิตศาสตร์เคยคิดว่าเป็น NP-problem แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ การที่มีคนพิสูจน์ได้ว่าปัญหาที่เป็น NP-problem หลายๆ ปัญหาลดลงมาเหลือ P-problem ได้ ทำให้มีความหวังว่าปัญหาทั้งหมดไม่ว่าจะซับซ้อนเพียงไร ก็อาจจะหาคำตอบได้ภายในขอบเขตของ polynomial time/space
  3. NP-complete problems แบ่งเป็นสองกลุ่มย่อยคือ NP-Hard problem: เป็นปัญหาที่สามารถเอา algorithm ในการแก้ปัญหามาแปลงเพื่อแก้ปัญหา NP-problem อื่นๆ ได้ หรือในทางกลับกันคือ NP-problem ทุกอันสามารถแปลงเป็น NP-Hard ได้…NP-complete: คือปัญหาที่เป็นทั้ง NP-problem และ NP-Hard problem (เริ่มงงแล้ว…หึๆๆ) ตัวอย่างเช่น Traveling Salesman Problem (TSP) สิ่งที่น่าสนใจของ NP-complete คือ algorithm สำหรับแก้ปัญหาอย่างนึงสามารถแปลงไปแก้ปัญหา NP-complete อื่นๆ ได้..ดังนั้นเมื่อไหร่ที่ NP-complete มี algorithm ที่ลดรูปเหลือ P-problem ได้ก็จะหมายความว่า NP-complete อื่นๆ จะถูกลดลงมาเหลือแค่ P-problem ซึ่งเป็น class ที่ใช้ space/time น้อยที่สุด…มีนักคณิตศาสตร์จำนวนมากพยายามค้นหา algorithm ลักษณะนี้ จนถึงทุกวันนี้ยังไม่มีใครพบแม้แต่ algorithm เดียว.. แต่ก็ไม่สามารถพิสูจน์ว่ามันไม่มีอยู่จริง
  4. Exponential problem คือปัญหาที่แก้ได้ในขอบเขตของ exponential time/space – จำนวนครั้งในการประมวลผลอยู่ในขอบเขตของ cn ปัญหาลักษณะนี้ถือว่ามีความซับซ้อนมากที่สุด ต้องใช้ space/time สูงสุดในบรรดาปัญหาที่แก้ได้ด้วย computer .. Exponential problem ที่รู้จักกันดีก็คือ Tower of Hanoi ซึ่งมีจำนวนครั้งของการย้ายจานเป็น exponential function ของจำนวนจาน
คอมพิวเตอร์ทั่วไปเราใช้แก้ ปัญหาใน class P-problem เท่านั้น หากเกินจาก P-problem แปลว่าต้องใช้เวลาหรือ resource มากเกินไป ซึ่งส่วนใหญ่ถือว่าไม่คุ้มที่จะทำ แต่ขอบเขตตรงนี้อาจจะหมดไปได้ (หรืออย่างน้อยก็ลดลงไปได้) หากเราใช้ quantum computing .. อย่างใรก็ตาม quantum computing ไม่ได้แก้ปัญหาได้ดีกว่า computer ธรรมดาไปซะทุกอย่างหรอกครับ quantum computing ยังมีข้อจำกัดอยู่ประการหนึ่งคือการ access ข้อมูลใน qubit register จะทำได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากการวัดค่าใดๆ กับอนุภาคที่เอามาใช้เป็น qubit register จะเป็นการทำลายสถานะของอนุภาคในขณะนั้นด้วย ข้อมูลที่ encode ไว้จึงสลายไปทันทีหลังจากถูก access ดังนั้นการจะใช้ประโยชน์จาก quantum computing จึงต้องออกแบบ algorithm ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาข้อจำกัดของ qubit register และใช้ประโยชน์จาก coherent superposition กับ entanglement ให้เต็มที่ .. เราเรียก algorithm กลุ่มนี้ว่าเป็น “Quantum Algorithms” …หลายคนมีความหวังว่า quantum algorithm บางตัวอาจจะแก้ปัญหาใน class NP-Problems ได้ แต่ปัจจุบันก็ยังไม่มีใครค้นพบ algorithm ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม quantum algorithms ก็มีออกมาพอสมควรแล้วครับ ตัวอย่างเช่น ลอฟ โกรเวอร์ (Lov Glover) ซึ่งเป็นนักวิทยาศาสตร์ประจำบริษัท ลูเซนท์ เทคโนโลยี เขียน quantum algorithm ในการ search ข้อมูลที่ไม่มีการเรียงลำดับได้ภายใน O(SQRT(n) ) ในขณะที่คอมพิวเตอร์ทั่วไปต้องใช้ถึง O(n/2) โดยเฉลี่ย .. กิลส์ บราสสาร์ด (Gilles Brassard) เอา algorithm ของโกรเวอร์ มาใช้เพื่อทำการกุญแจถอดรหัสของ Data Encryption Standard (DES) .. DES ใช้กุญแจขนาด 56-bit ดังนั้นจึงมีกุญแจที่เป็นไปได้ 256 keys (ประมาณ 7 x 1016) สมมติให้คอมพิวเตอร์ทั่วไปทดสอบกุญแจได้ 1 ล้าน ตัวต่อวินาที ก็ยังต้องใช้เวลานับพันปีกว่าจะได้กุญแจที่ถูกต้อง แต่ด้วย quantum computing + Grover’s algorithm จะใช้เวลาน้อยกว่า 4 นาที .. สิ่งที่แปลงอย่างนึงของ quantum computing คือ algorithm ส่วนใหญ่มักจะเกี่ยวข้องกับ cryptography ครับ.. อย่าง ปีเตอร์ ชอร์ (Peter Shor) ก็คิด quantum algorithm สำหรับแยกตัวประกอบของเลขจำนวนเต็มขนาดใหญ่ .. ผลกระทบของ Shor’s algorithm กับ quantum computing ทำให้ cryptography ที่มีในปัจจุบันไม่ปลอดภัยเพียงพอซะแล้ว…

Quantum Cryptography

ใน ปัจจุบันถือว่า public key cryptography มีความปลอดภัยสูงมาก การจะหากุญแจที่ถูกต้องทำได้ยากเพราะต้องใช้วิธีการหาค่า inverse ของฟังก์ชันทางเดียว เช่น การแยกตัวประกอบของเลขจำนวนเฉพาะที่มีค่ามากๆ .. นักคณิตศาสตร์เชื่อว่าการแยกตัวประกอบอยู่ใน class ของ super-polynomial time/space (เป็น P-problem ที่เกือบจะเป็น NP)… ปัจจุบันขนาดของกุญแจ ที่ใช้ใน public key cryptography เป็นตัวเลขขนาดประมาณ 512 – 4096 bits..ถ้าใช้ คอมพิวเตอร์ธรรมดา + algorithm ที่เร็วที่สุดในปัจจุบันก็อาจจะไม่สามารถแยกตัวประกอบได้เลย (แปลว่าใช้เวลาเฉลี่ยนานกว่าอายุของจักรวาล -_-”) แต่ถ้าใช้ quantum computing + Shor’s algorithm ความซับซ้อนจะเหลือเพียง O(CUBE(n)) ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็ได้คำตอบ..ดังนั้นเมื่อไหร่ที่มี quantum computer ขึ้นมาจริงๆ ความปลอดภัยของ public key cryptography ในปัจจุบันจะไม่มากพอที่จะรักษาความลับของข้อมูลได้อีกต่อไป.. สิ่งที่จะมาแทนอาจจะเป็น “Quantum Cryptography” ล่ะครับ .. Quantum cryptography ตอนนี้กำลังมีการทำวิจัยกันเยอะมาก เมื่อไหร่ที่ทำได้สมบูรณ์อาจจะออกเป็น product เพื่อทดแทน public key cryptography ในปัจจุบัน สิ่งที่ quantum cryptography แตกต่างจาก cryptography ทั่วไปอย่างชัดเจนคือพื้นฐานที่ใช้เป็นตัวรักษาความลับของกุญแจ .. อย่าง public key cryptography ใช้ความยากในการแก้สมการคณิตศาสตร์ หากมีคนพยายามจะหากุญแจนั้นจะต้องแก้สมการให้ออกจึงจะได้กุญแจที่ถูกต้อง .. แต่ กรณีของ quantum cryptography จะใช้วิธีของ one-time pad (อ่านดูรายละเอียดของ one-time pad ใน e-mag ตอน cryptographyได้ครับ) และใช้คุณสมบัติของอนุภาคในการแลกกุญแจ..วิธีการก็คือให้ A random 0/1 ขึ้นมาจำนวนหนึ่งเพื่อใช้เป็นกุญแจของ one-time pad ทำการ encode 0/1 ลงในอนุภาคแล้วส่งอนุภาคนั้นไปให้ B ก็จะทำให้ B อ่านค่าแล้วแปลงกลับเป็นกุญแจที่ B ส่งมาได้ หากมีใครพยายามดักอ่านค่าจากโฟตอนที่กำลังส่งก่อนจะถึงมือ B จะทำให้สถานะของอนุภาคเปลี่ยนไป (จำได้มั้ยครับ เราวัดค่าใดๆ จากอนุภาคได้ถูกต้องเพียงครั้งแรกครั้งเดียวเท่านั้น) ค่าที่ B ได้รับก็จะไม่เหมือนกับที่ A ส่งมา .. A กับ B สามารถตรวจสอบได้ว่ามีคนแอบอ่านค่าจากอนุภาคโดยการเปรียบเทียบส่วนหนึ่งของ key ที่ A ส่งให้ B .. หากว่าค่าตรงกันมากพอ A และ B ก็มั่นใจได้ว่ากุญแจที่ได้รับถูกต้องและไม่มีใครล่วงรู้นอกจาก B เท่านั้น .. A และ B ก็จะสามารถใช้กุญแจส่วนที่เหลือมาเข้า/ถอดรหัสข้อมูลได้ จะเห็นว่าการเปรียบเทียบส่วนหนึ่งของกุญแจทำได้อย่างเปิดเผยเพราะส่วนที่ใช้ เปรียบเทียบจะไม่เอามาใช้เข้า/ถอดรหัส ในทางปฏิบัติมีการทดลองโดยใช้โฟตอนยิงผ่านสายใยแก้วในการส่งกุญแจซึ่ง ปัจจุบันทำได้สำเร็จแล้วในระยะไม่เกิน 48 กม. แต่ยังติดปัญหาที่ส่งได้ช้าและมีจุดที่ต้องแก้ใขเพื่อให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

Building Quantum Computers

Quantum computer ก็สร้างจาก network of logic gates เหมือนกับคอมพิวเตอร์ปกติน่ะแหละครับ.. ที่จะต่างก็คือตัว logic gate

จะต้องสร้างและทำงานกับสถานะของ quantum superpositions ได้ด้วย อย่างรูปข้างล่างนี้เป็นตัวจำลองของ Half-Adder การที่จะใช้ quantum superposition จะต้องรักษาสถานะของอนุภาคใน qubits ไม่ให้ออกไปรบกวนสิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่งั้นข้อมูลใน qubit register จะรั่วออกไปได้ เราเรียกว่าเป็น “decoherence process” … งานหลักของผู้ออกแบบสร้าง quantum computer จึงเป็นการสร้างระบบขนาดเล็กระดับอะตอมหรืออนุภาคที่แต่ละ qubit register ให้มี entanglement และ superposition ได้แต่จะต้องอยู่เฉพาะภายใน qubit register นั้นๆ นักฟิสิกส์เชื่อว่าถึงจะสร้างระบบแบบนั้นขึ้นมาได้แต่การประมวลผลอย่างต่อ เนื่องโดยไม่ให้เกิด decoherence เลยเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากมากๆ…ข้อจำกัดนี้ทำให้ quantum computer ประมวลผลได้ไม่กี่ steps ก่อนที่จะเกิด decoherence ..ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่ได้ประโยชน์อะไรมากหากประมวลผลได้ไม่กี่ steps แต่จริงๆ ไม่กี่ steps ที่ว่านี่ก็เพียงพอแล้วครับ อย่าง quantum cryptography ใช้เพียง 1-2 qubits กับ 1 steps เท่านั้น, Glover’s algorithm ก็ใช้ประมาณ 3+ qubits กับ 6+ steps, หรือ Shor’s algorithm ก็ใช้แค่ 6+ qubits กับราวๆ 100 steps
Quantum computer ที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบันคำนวณได้ราว 100 logic operations กับข้อมูล 2 qubits หรือ 10 operations กับ 7 qubits ซึ่งยังเล็กเกินกว่าจะใช้ประโยชน์อะไรได้เต็มที่ บางระบบยังทำได้เพียง superposition เพียงอย่างเดียวอีกต่างหาก (เช่น Nuclear Magnetic Resonance Spectrometer ซึ่งเทียบเท่ากับ 7-qubit quantum computer) .. ส่วนตัวอย่างการทำ entanglement ปัจจุบันทำได้ในห้องทดลองโดยใช้ ion trap เป็นตัวดักอนุภาคไว้และใช้แสงเลเซอร์เป็นตัวสร้าง entangled state ซึ่งได้ความน่าเชื่อถือราวๆ 90% .. พูดถึงความน่าเชื่อถือก็เลยนึกขึ้นได้ quantum computing จะเป็นไปได้จริงก็ต่อเมื่อมี information theory มารองรับการประมวลผลครับ ส่วนนึงที่กล่าวถึงใน information theory ก็คือเรื่อง error correction .. ใน computer ปัจจุบันเราสามารถเลี่ยงปัญหาการเกิด error จาก noise ได้โดยการขยายสัญญาณให้แรงขึ้น ใน quantum mechanics เราไม่สามารถทำอย่างนั้นกับสถานะของอนุภาคได้ แต่ก็โชคดีที่คุณสมบัติ entanglement ของอนุภาคช่วยให้ทำ error correction ได้ขอเพียงรู้ว่าสถานะของอนุภาคถูกเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้างก็จะสามารถหา สถานะที่ถูกต้องของอนุภาคได้ .. quantum error correction เป็น area ที่พัฒนาไปได้มากที่สุดใน quantum information theory และจะเป็นสิ่งที่ได้นำไปใช้จริงเมื่อมีการสร้าง quantum computer มาใช้งานกัน ..Register ใน quantum computing อาจจะมีลักษณะเป็นอย่างในภาพนี้ครับ แท่ง 4 แท่งสีฟ้าๆ ตรงกลางนั่นเป็น electrode สำหรับดักให้ Calcium ion ลอยอยู่ตรงกลางซึ่งเป็นพื้นที่ของสนามแม่เหล็ก 0.01 Tesla ขนาดกว้างประมาณ 1 mm ion ทั้งหมดมีประจุเหมือนกันจึงมีแรงผลักซึ่งกันและกันอยู่ทำให้เกิดการ เคลื่อนที่ในหลายๆ รูปแบบเรียกว่า “phonons” การจะทำให้เกิด phonons ในรูปแบบใดๆ สามารถทำได้โดยการยิงแสง laser ไปที่ ion ที่ตำแหน่งต่างๆ กัน .. laser ยังใช้ในการลดอุณหภูมิและเพิ่มความเสถียรของ ion ด้วย

Trends ?

เอา เท่านี้ก่อนดีกว่าครับ ที่เล่าให้ฟังนี้แค่พื้นๆ เท่านั้นเอง ยังมีเรื่องอื่นๆ ที่ต่อเนื่องจากเรื่องนี้อีกเยอะ เช่น quantum information theory, quantum communications, และ quantum teleportations .. โดยสรุป ทฤษฎีที่เป็นตัวรองรับการประมวลผลด้วย quantum computing ในปัจจุบันก็มากเพียงพอที่จะกล่าวได้ว่า quantum computing มีความเป็นไปได้ในอนาคต ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์และวิศวกรทำงานร่วมกันเพื่อสร้าง quantum computer ออกมา นักวิทยาศาสตร์คาดกันว่าในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะมี quantum computer สำหรับประมวลผลเฉพาะทางอย่างน้อยก็ในระดับ 10 qubits ขึ้นไป เมื่อถึงเวลานั้น RSA public key cryptography จะถูก break ได้สำเร็จ quantum simulation ระบบขนาดเล็กจะเกิดขึ้น การพยากรณ์สภาพอากาศจะทำได้ถูกต้องและรวดเร็วกว่าปัจจุบัน ..ใน 50-100 ปี คาดว่าจะมี 100-qubit general-purpose quantum computer .. ถึงเวลานั้น ถ้าเรา หรือ Microsoft ยังอยู่บนโลก อาจจะได้เห็น Microsoft Windows Quantum Edition กันมั่งล่ะ… สงสัยจังว่ามันจะยัง hang อีกมั้ย.. อาจจะมี error message ใหม่ๆ เช่น “Your computer produces unstable entanglements, shutting down the system” หรือไม่ก็ “Windows cannot determine quantum states, system halted” ..เหอะๆๆๆๆ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

เจริญ’จอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย

เจริญ’จอมยุทธวิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย(1) 

โดย พายัพ วนาสุวรรณ 6 สิงหาคม 2545 23:11 น. 


ความร่ำรวยคือสุดยอดปรารถนาของหลายคน แต่ความร่ำรวยที่ตั้งอยู่บนการเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นย่อมไม่ใช่วิถีทางที่หลายคนต้องการ ,“พายัพ วนาสุวรรณ” คอลัมน์นิสต์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของหนังสิือพิมพ์ผู้จัดการ นำเรื่องของเจ้าพ่อน้ำเมา “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ที่ความร่ำรวยของเขามีคำถามเกิดขึ้นมากมาย มาตีแผ่ใน “คารวะแผ่นดิน”ทางสถานีไอเอ็นเอ็นนิวส์ เรดิโอ 99.5เมกะเฮิร์ตซ เมื่อคืนวันจันทร์ที่16 ตุลาคม 2543 ดังมีรายละเอียดดังนี้ 

ท่านผู้ฟังครับ เมื่อวันพฤหัสที่ 12 ตุลาคม 2543 ที่ผ่านมา มีงานแต่งงานที่ยิ่งใหญ่มากงานหนึ่ง ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าเป็นงานช้างก็ได้ เพราะลูกสาวเจ้าของบริษัทเบียร์ช้าง แต่งงานกับผู้ชายคนหนึ่ง 

เราอย่าไปสนใจเลยว่า ผู้ชายเจ้าบ่าวคนนั้นเป็นใคร มาจากไหน ? 

แต่เรามาสนใจพ่อของเจ้าสาวดีกว่า ที่ชื่อ เจริญ สิริวัฒนภักดี หรือนามสกุลเดิมคือ ศรีสมบูรณานนท์ 

เจริญ สิริวัฒนภักดี คือพญาช้างตัวจริง บางคนเรียกเจริญ สิริวัฒนภักดี ว่าท่านเจ้าคุณเจริญ 
สำหรับคนที่อยู่ใต้ร่มใบบุญ และรับสินบาทของเขาก็จะพากันยกย่องสรรเสริญคนๆนี้ และจะพยายามช่วยหาทุกวิถีทางให้ธุรกิจสุราและเบียร์ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้เจริญรุ่งเรืองเติบโตผูกขาดภายใต้เงื่อนไขเสรีต่อไป รวมทั้งหาหนทางทุกๆ หนทางที่จะให้ชาติบ้านเมืองได้ภาษีอากรจากธุรกิจเหล้าและเบียร์ของท่านเจ้าคุณเจริญคนนี้ให้เก็บภาษีได้น้อยที่สุด 

ในแวดวงการกุศล การกีฬา ชื่อเสียงของท่านเจ้าคุณเจริญนั้น เป็นชื่อเสียงที่ทุกคนต้องคิดถึงคนแรก ไม่ว่าจะเป็นมวย หรือฟุตบอล หรือสมาคมต่างๆนานาที่แข่งขันกันทำคุณงามความดี เมื่อขาดเงินดำเนินการในกิจกรรมพิเศษใดๆก็ตาม ชื่อของท่านเจ้าคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี จะเป็นชื่อแรกที่ทุกคนเอ่ยขึ้นมา แม้แต่สมาคมมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ อดีตนายกฯ อย่างอานันต์ ปันยารชุน ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรับเงินบริจาคจากท่านเจ้าคุณเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ถ่ายรูปกันหน้าแฉล้ม ยิ้มแย้มแจ่มใส ลงในหน้าหนังสือพิมพ์กันทั่วหน้า 

ทุกคนที่รับทราบข่าวคราวเช่นนี้ ก็สรรเสริญ เยินยอความใจบุญสุนทานของท่านเจ้าคุณเจริญ 

ถ้าวันนี้ถามว่าระหว่าง ทักษิณ ชินวัตร และเจริญ สิริวัฒนภักดี นั้นใครรวยกว่ากัน ก็คงต้องบอกความจริงกับท่านผู้ฟังได้ทันทีว่า ทักษิณ ชินวัตร นั้น ยังอยู่ระดับอนุบาลอยู่ถ้าเทียบกับเจริญ สิริวัฒนภักดี 

ท่านผู้ฟังครับ แล้วถ้าถามต่ออย่างคนขี้สงสัยว่า ในเมืองไทยนั้นคนที่รวยที่สุดนั้นเป็นใครกันแน่ 

ถ้าจะวัดกันด้วยเม็ดเงินนั้น คงไม่มีใครรู้ เพราะของแบบนี้ตรวจสอบกันยาก แต่ถ้าวัดกันด้วยทรัพย์สิน และวัดกันที่ธนาคารเชื่อใจใครมากที่สุด ที่ สามารถปล่อยกู้ได้เป็นพันๆล้าน ด้วยลายเซ็นแกร๊กเดียว ก็ต้องตอบว่า คนที่รวยที่สุดในประเทศไทยนั้นคือ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่มีภรรยาชื่อ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี และอีกไม่นานนี่คงได้เป็นท่านผู้หญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี อย่างแน่นอน 

สำหรับท่านผู้ฟังที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงจริงๆ ท่านคงไม่รู้ว่า ท่านเจ้าคุณเจริญ ของพวกเรานี้ เป็นเจ้าของแทบจะทุกอย่างที่พวกเรารู้จักกันในแวดวงสังคมไทย ตั้งแต่กลุ่มเครือโรงแรมอิมพีเรียลควีนสปาร์ค เป็นเจ้าของโรงแรมพลาซ่าเอธีน่า โรงแรมระดับ 5 ดาว ในมหานครนิวยอร์ค และมาสร้างโรงแรมพลา ซ่าเอธีน่าที่ถนนวิทยุ โดยทุบโรงแรมอิมพีเรียลทิ้ง ใช้เงินเป็นพันๆล้าน สร้าง ถึงจะยังไม่เปิด แต่เมื่อวันพฤหัสที่ 12 ตุลาคม 2543 ก็เปิดเป็นพิเศษหนึ่งวันเชิญแขก 4,000 กว่าคน ตั้งแต่ข้าราชการ นักการเมือง องคมนตรี ทหาร ตำรวจ ปลัดกระทรวง และอดีตปลัดกระทรวงทั้งหลาย มาเลี้ยงฉลองพิธีมงคลสมรสของบุตรสาวนายเจริญ สิริวัฒนภักดี 

สนามกอล์ฟเลควิว ที่ชะอำที่เราเคยได้ยินชื่อกันนั้นเดิมทีก็เป็นของบรรดากลุ่มธรรมรัฐในเครือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่ยืมเงินบริษัทไฟแนนซ์ที่ตัวเองบริหารอยู่มาสร้างหวังกำไร แต่พอขาดทุนมากก็ผ่องให้ท่านเจ้าคุณเจริญ โดยท่านเจ้าคุณเจริญวางมัดจำแค่ 15 ล้านบาท ส่วนเงินกู้ที่เหลือก็กู้จากธนาคารไทยพาณิชย์ 

ท่านผู้ฟังครับ ใครว่าธนาคารไม่ปล่อยกู้ล่ะ ! 

พันธ์ทิพย์พลาซ่านั้นเป็นแหล่งรวมสินค้าทางไฮเทค ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ก็ไม่ใช่ของใครที่ไหน แต่เป็นของท่านเจ้าคุณเจริญ ท่านซื้อมาจาก ตระกูลอดีตอธิบดีกรมสรรพสามิตคนหนึ่ง ที่ชื่อ เฉลิมชัย วสีนนท์ ในราคาประมาณ 300 ล้านบาท เพราะตระกูลทางภรรยาท่านอดีตอธิบดีทำแล้วไปไม่ไหว ก็เลยขอให้ท่านเจ้าคุณเจริญซื้อหน่อย และก็ซื้อในยุคที่เฉลิมชัย วสีนนท์ ยังเป็นอธิบดีกรมสรรพสา มิตอยู่ 

นอกจากนั้นแล้ว ท่านเจ้าคุณเจริญ ยังเคยเป็นเจ้าของธนาคารมหานคร และมีหุ้นใหญ่อยู่ในธนาคารศรีนคร สองธนาคารที่ถูกรัฐบาลปิดไป หนึ่งคือ มหานคร และรัฐบาลยึดไปเป็นของรัฐบาล อีกหนึ่งคือ ศรีนคร 

ธนาคารมหานครเป็นสถาบันการเงินเดียว ที่ถูกปิดแล้วไม่มีการเข้าไปดำเนินคดีกับการปล่อยสินเชื่อที่ผิดพลาด ทำไม - ท่านผู้ฟัง ทราบไหมครับ ถ้าไม่ทราบ ผมพายัพ วนาสุวรรณ จะเล่าให้ฟัง ก็ธนาคารมหานครเป็นผู้ที่อาวัลตั๋วสัญญาใช้เงินในการที่ลูกน้องท่านเจ้าคุณเจริญออกตั๋วไปซื้อที่ดินของตระกูล ม.ร.ว. จตุมงคล โสณกุล ที่ตลาดน้อย ที่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการเคยลงไปหลายเดือนมาแล้ว แล้วตั๋วสัญญาใช้เงินก้อนนั้น ที่ธนาคารมหานครอาวัลก็ถูกเอาไปขายลด ที่ธนาคารกรุงไทย ในยุคที่ ม.ร.ว. จตุมงคล ท่านเป็นประธานธนาคารกรุงไทย 

คงไม่ต้องบอกตอนจบน่ะครับท่านผู้ฟังว่า ตั๋วนั้นกลายเป็น npl เมื่อธนาคารมหานครถูกสั่งปิดทันทีที่ตั๋วนี้ถูกขายลดที่ธนาคารกรุงไทยเรียบร้อยแล้ว ท่านเจ้าคุณเจริญเอง ก็ยังเป็นเจ้าของมหาธน กิจทรัสต์ ที่ล้มไปแล้ว พร้อมกับพ่อตาของตัวเอง 

ทั้งธนาคารมหานคร และมหาธนกิจทรัสต์ นั้นมีหนี้ npl ที่เป็นกลุ่มท่านเจ้าคุณเจริญอยู่มากมาย หลายต่อหลายกรณีเป็นการปล่อยกู้ในทำนองเดียวกับบรรดาผู้บริหารสถาบันการเงินที่ถูกนักธรรมรัฐ เช่น หม่อมเต่า และผู้ช่วยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่ชื่อ รัฐกร นิ่มวัฒนา ดำเนินคดีอยู่ 

แต่จากวันที่ธนาคารมหานคร และมหาธนกิจ ทรัสต์ ล้มลงไปจนถึงวันนี้ ไม่มีเลยแม้แต่คดีเดียวที่หลุดออกมาจากธนาคารแห่งประเทศไทยที่เกี่ยวกับธนาคารมหานคร บุญคุณของการซื้อที่ และการร่วมกันผ่องถ่ายเงินมันต้องร่วมกันปิดบัง 

ยิ่งโอนหนี้ธนาคารมหานครเข้าไปรวมกรุงไทยแล้ว แยกหนี้ออกมาให้กองทุนฟื้นฟูซื้อออกไปตั้งเป็น amc สุขุมวิทขึ้นมา ก็เเท่ากับเป็นการฟอกตัวคนที่เกี่ยวข้องทุกๆคนให้หลุดหมด 

เห็นหรือยังครับท่านผู้ฟัง ว่าวิชามารการสร้าง ภาพ เอาดีใส่ตัว เอาชั่วเข้าผู้อื่นนั้น มันเป็นยังไง ? 

กลับมาที่ท่านเจ้าคุณเจริญต่อครับ ความร่ำรวยของท่านเจ้าคุณเจริญนั้น ยังมีอีกมากมายมหาศาล ถ้าผมพายัพ วนาสุวรรณ บอกท่านผู้ฟังว่า ท่านเจ้าคุณเจริญนั้นท่านเป็นนักธุรกิจที่มีวิทยายุทธ ผมต้องเรียกว่าเป็นผู้ที่เหยียบหิมะไร้ร่องรอย 

ท่านเหยีียบหิมะไร้ร่องรอยอย่างไรครับท่านผู้ฟัง ท่านทำอะไรก็ตามท่านแทบจะไม่ทิ้งร่อยรอยอะไรของท่านไว้เลย ท่านเคยเข้าหุ้นกับพรรคพวกของท่าน ท่านร่วมทุนร่วมงาน บุกเบิก เหล้าหงส์ทอง เหล้าแม่โขง ท่านทำทุกอย่าง ท่านเบิกรายจ่าย บริษัทสุราได้มีการติดสินบน ซื้อข้าราชการจากส่วนกลาง แต่งตั้งเอเยนต์ เอาเงินออกไปจับจ่ายใช้สอย แล้วท่านร่วมทุนกับบรรดากลุ่มธุรกิจเหล้าโบราณ เช่น กลุ่มเตชะไพบูลย์ กลุ่มมหาคุณ กลุ่มเหล่าจินดา ในที่สุดแล้วทุกกลุ่มจะถูกท่านเจ้าคุณเจริญ takeover ด้วยวิธีการหลายๆประการซึ่งแม้กระทั่ง haward business school ก็ยังไม่มีสิทธิที่จะทำได้ 

สมัย ที่ท่านตั้งบริษัท tcc น่ะครับ มาจากคำว่า เถลิง เหล่าจินดา c คือ จุล คุณจุล นี่ก็คือคนซึ่งปรุงเหล้าแม่โขง และ c อีกตัวคือเจริญ 3 หุ้นส่วนสร้างโรงเหล้า 12 โรง ท่านกู้เงินธนาคารมาสร้าง แต่ท่านเจ้าคุณเจริญ เป็นคนจัดการซื้อที่ดิน ซื้อเครื่องจักร ผ่านบริษัทของท่านเจ้าคุณเองที่ฮ่องกง ซึ่งท่านซื้อจากบริษัททิพเบอร์ลิน ซื้อเข่้ามาได้กำไรเข้ากับตัวท่านเอง หุ้นส่วนนั้นไม่รู้เรื่อง 

ท่่านเจ้าคุณท่านนี้ ท่านเป็นคนซึ่ง เริ่มชีวิตจากคนไม่มีเงิน กลายเป็นเศรษฐี แม้กระทั่ง นายเถลิง ซึ่งเป็นเจ้านายเก่าก็ยังงงว่า รวยมาจากอะไร ท่านใช้วิชามารได้ครบวงจร ใช้เงินส่วนกลางของบริษัทไปบริจาคในนามตนเอง หรือภรรยา แต่ไม่เคยบอกใครว่าเป็นเงินของกลุ่มสุรามหาราษฎร์ ซึ่งมีพวกเตะไพบูลย์หุ้นอยู่ครึ่งหนึ่ง และหุ้นส่วนก็ไม่เคยได้รับแม้กระทั่งวาจาขอบคุณ 
ท่านผู้ฟังครับ ที่ผมจำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาพูดในวันนี้ ผมไม่ได้มีความอิจฉาริษยาในความร่ำรวยของคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ผมคิดว่าคนเรานั้น ถ้าค้าขายร่ำรวยขึ้นมา ด้วยวิธีการที่สุจริต ค้าขายอย่างยุติธรรม ตรงไปตรงมา หรือแม้กระทั่งจะใช้ความสามารถในเชิงการค้าเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยการตั้งราคา หรือด้วยการส่งเสริมการตลาดนั้น เป็นสิ่งที่ชอบ ที่ควรจะทำได้ แต่การที่คนเราจะร่ำรวยขึ้นมาด้วยการโกงภาษีของแผ่นดิน หรือแม้กระทั่งการที่คนเราจะร่ำรวยขึ้นมา และสามารถจะคดโกงภาษีได้ เหตุผลเพราะว่าเราเอาเงินเอาทองไปซื้อข้าราชการในกรมสรรพสามิต และกระทรวงการคลัง เกือบจะหมด กลุ่มละเกือบจะหมดกระทรวง ตลอดจนนักการเมืองต่างๆ เพื่อให้ตัวเองนั้นไม่ต้องเสียภาษีอันควรที่จะเสียให้แก่รัฐ และสามารถที่จะประหยัดภาษีที่ตัวเองต้องเสีย ปีละ 18,000 ล้าน กลายเป็นเสียแค่ปีละ 2-3 พันล้าน และตัวเองก็กำไรจากส่วนต่างของภาษีนี้ปีละ หมื่นกว่าล้าน และเอาเงินที่คดโกงภาษีชาติบ้านเมืองเหล่า นี้มาบริจาค มาทำบุญ เอามาซื้อข้าราชการต่างๆ ซื้อนักการเมือง โดยใช้เงินทั้งหมดทั้งปีก็ไม่เกิน 500 ล้าน หรือพันล้านบาท แต่ทุกคนซึ่งถูกซื้อตัวไป รับเงินรับทองจากท่านเจ้าคุณเจริญนี่ ก็สามารถที่จะช่วยเหลือท่านเจ้าคุณเจริญ ให้เสียภาษีน้อยลงกว่าที่ควรจะเสีย 

ท่านผู้ฟังครับ คนเราถ้ารวยอย่างนี้ รวยไม่มีเกียรติครับท่านผู้ฟัง ถ้าท่านผู้ฟังหรือใครก็ตามที่รับเงินบริจาคการกุศล จากกลุ่มสุรากลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นสมาคมเคมบริดจ์ ซึ่งท่านอดีตนายกฯ อานันต์ ปันยารชุน ซึ่งได้รับเมื่อเร็วๆนี้ หรือไม่ว่าหน่วยงานกระทรวงทุกแห่งที่ได้รับนั้น ไม่มีใครชมเชยหรอกครับ อันนี้นี่คือ เงินที่เอามาบริจาคจากการที่คดโกงภาษีของแผ่นดิน ในเรื่องเหล้า 

ท่านผู้ฟังรู้ไหมครับว่าคดโกงกันอย่างไร ท่านผู้ฟังตามผมมาซิครับ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องยาว และก่อนที่ผมจะพูดเรื่องนี้ ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังทั้งหลายเป็นคนไทยใช่ไหมครับ ท่านมีชีวิตอยู่ในแผ่นดินนี้ ท่านมุ่งหวังหรือเปล่าครับที่จะให้สังคมนี้เป็นสังคมที่ดีขึ้น และท่านมุ่งหวังหรือเปล่า ครับที่จะให้ลูกหลานท่านเจริญเติบโตมาในสังคมที่มีการต่อสู้กันอย่างยุติธรรม และเป็นสังคมที่ให้ความเป็นธรรมกับทุกๆคน เป็นสังคมที่ไม่ยึดถือเงินตราเป็นพระเจ้า ท่านผู้ฟังครับ ผมมีลูก ท่านผู้ฟังหลายท่านก็มีบุตรมีธิดา วันนี้เราอยากให้สังคมที่เน่าและฟอนเฟะอันนี้มันดีขึ้นหรือเปล่าครับท่านผู้ฟัง 

ผมเชื่อว่าท่านผู้ฟังก็อยาก ผมก็อยาก เราอยากนี่เราอยากให้ใครครับท่านผู้ฟัง เราอยากให้ลูกให้หลานเรา จะสังเกตุได้อย่างหนึ่งในสังคมนี้มันไม่มีคนกล้าพูดครับท่านผู้ฟัง ผมไม่ใช่เป็นคนกล้าหรอกครับท่านผู้ฟัง แต่ผมคิดว่ามผมีโอกาสที่จะทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์สุจริต นอกจากในฐานะมนุษย์คนหนึ่งซึ่งควรจะทำแล้ว ผมคิดว่าผมพยายามจะทำหน้าที่ของคนไทยที่มีความจำเป็นจะต้องทำ 

ผมคิดว่าที่ผมพูดนั้น คงไปกระทบกระเทือนคนอีกเยอะ อีกหลายกลุ่ม ที่ได้รับเงินสินบาทคาดสินบนจากกลุ่มอุตสาหกรรมสุรา แต่มันจำเป็นต้องพูดครับท่านผู้ฟัง เพราะว่าถ้าหากไม่พูดแล้ว ผมตายไปผมก็นอนตาไม่หลับ ผมจะก้มหน้ามองดิน เงยหน้ามองฟ้าได้ยังไง ผมก็มีชีวิตอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีครับ ผมก็จะตายไปอย่างมีความสุข 

ท่านผู้ฟังครับ เรื่องนี้ท่านผู้ฟังจะไม่มีวันได้ฟังจากที่ไหน หรือได้อ่านจากที่ไหนหรอกครับ เพราะสื่อมวลชนทุกๆแขนงไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์ หรือโทรทัศน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโทรทัศน์ เขาได้สินบาทจากกลุ่มสุราทั้งสิ้น จากการโฆษณาของเบียร์ช้าง เป็นสิบๆ ล้านบาท เป็นร้อยๆ ล้านบาท เป็นหลายร้อยล้านบาท หนังสือพิมนิตยสารก็เช่นกัน แต่ผมจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้เพราะผมคิดว่าเงินเหล่านี้ไม่ใช่เงินสะอาด เงินเหล่านี้คือเงินซึ่งคนพวกนี้โกงภาษีอากร จากแผ่นดิน เป็นคนซึ่งทรยศต่อแผ่นดินไทย โกงภาษีอากร แล้วเอาเงินภาษีอากรต่างๆเหล่านี้ที่ตัวเองควรจะเสียปีละ 18,000 ล้านบาท แต่เสียแค่เพียง 2-3 พันล้านบาท ทำให้ตัวเองกำไรเพิ่มขึ้นอีกหมื่นกว่าล้านบาทต่อปี 

หมื่นกว่าล้านต่อปี แล้วก็เอาเศษเนื้อเศษกระดูกขอเงินหมื่นกว่าล้านบาทนี้ ไปหว่านล้อมพวกข้าราชการประจำ ตลอดจนสื่อมวลชนทั้งหลาย เพื่อให้ทุกๆคนนั้นไม่กล้ามาพูดในเรื่องต่างๆ เหล่านี้ ถึงแม้ว่าจะรู้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ท่านผู้ฟังครับ ถ้าท่าเจ้าคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นพญาช้าง ผมจะพูดให้ฟังครับท่านผู้ฟัง ว่าคน 4 พันคนที่ไปงานแต่งงานของบุตรสาวเขาที่โรงแรมพลาซ่าอาธีน่า หรือว่าเป็นโรงแรมที่อิมพีเรียลเก่านั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่หาหญ้าให้ช้างกิน เป็นผู้ที่เดินตามช้างแล้วคอยเช็ดขี้ช้าง ถือขี้ช้างให้ ท่านผู้ฟังอยากรู้ตำนานเล่าไหมครับ ถ้าท่านผู้ฟังอยากรู้ตำนานเล่า ตามผมมาซิครับ




จากคนที่ไม่มีอะไร วันนี้ “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ผู้คนหลายคนแทบจะเรียกเขาเป็นท่านเจ้าคุณ เพราะความที่เป็นผู้อุดมไปด้วยทรัพย์สิน บริวาร ครอบครองธุรกิจเกือบครบวงจร ผูกขาดธุรกิจสุราของประเทศทั้งๆที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดเสรี แต่เบื้องหลังความร่ำรวยของเจ้าพ่อน้ำเมายังมีอะไรที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคาดไม่ถึง “พายัพ วนาสุวรรณ” คอลัมน์นิสต์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของหนังสิือพิมพ์ผู้จัดการ นำเรื่องของเจ้าพ่อน้ำเมา “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ตีแผ่จนถึงราก ใน “คารวะแผ่นดิน”ทางสถานีไอเอ็นเอ็นนิวส์ เรดิโอ 99.5 เมกะเฮิร์ตซ เมื่อคืนวันจันทร์ที่16 ตุลาคมและต่อเนื่องถึงวันจันทร์ที่ 23 ที่ผ่านมา 

ในตอนแรก นั้น พายัพ วนาสุวรรณ ได้พูดถึงเจริญว่า เป็นผู้ที่มีความเฉลียวฉลาดในการดำเนินธุรกิจ ใช้ทุกรูปแบบเพื่อให้ตนได้รับผลประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงว่าวิธีการบางอย่างนั้นเป็นการเอารัดเอาเปรียบคู่แข่งขัน และบางอย่างนั้นจะทำให้รัฐเสียหาย แต่ไม่ว่า เจริญจะใช้วิชามารอย่งไรก็ตาม บรรดา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ดูจะไม่เดือดร้อน ยอมลดเกียรติ ลดศักดิ์ศรีของตนเองเป็นเพียงให้เกี่ยวหญ้าเลี้ยงพญาช้างอย่างเจริญ ด้วยความเต็มใจ ไม่ต่างไปจาก“ตะพุ่นหญ้าช้าง”คนหลวงที่ต้องโทษอาญาในสมัยโบราณ 

พุ่นหญ้าช้าง”อย่างครบวงจรนั้นทำให้เข้าสามารถประหยัดภาษีสุราที่จะต้องจ่ายให้รัฐไม่น้อยกว่า 54,000 ล้านบาท โดยลงทุนเลี้ยงตะพุ่นหญ้าช้างปีละไม่เกิน 2,000 ล้านบาท เอาเปรียบคู่แข่งด้วยการขายเหล้าพ่วงเบียร์ได้อย่างไร้ความผิดตามกฎหมายแข่งขันทางการค้า ไม่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายในหนี้เสียกองโตของธนาคารมหานคร เหมือนกับผู้บริหารธนาคารอื่นๆที่ถูกทางการปิดไป 

จากพฤติกรรมต่างๆของเจริญ ที่ทำอะไรไว้โดยไม่ทิ้งร่อยรอย พายัพ วนาสุวรรณ ได้เรียกเขาว่า เป็น “จอมยุทธที่เหยียบหิมะไร้รอย” ตอนต่อจากนี้จะเป็นอีกตำนานของเจ้าพ่อน้ำเมาที่พายัพ วนาสุวรรณ หยิบมาจากข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น 

เมื่อตอนที่แล้วผมได้พูดถึง ท่านเจ้าคุณเจริญ ว่าท่านเป็นบุคคลที่ร่ำรวย อาจจะถือได้เป็นคนที่ร่ำรวยมากที่สุดในประเทศก็ได้ ผมไม่ได้อิจฉาในความร่ำรวยของท่าน แต่บังเอิญว่าการทำธุรกิจเหล้านั้น เป็นธุรกิจที่ต้องค้าภาษีอากร พูดง่ายๆต้องโกงภาษีรัฐถึงจะมีโอกาสรวยมหาศาล และ ภาษีอากรต่างๆที่ถูกโกงไปแล้วนั้น ภาษีที่รัฐควรจะได้จากเจ้าคุณเจริญจริงๆแล้ว ควรจะเป็นปีละ18,000 ล้านบาท ไม่ใช่ 2,000 ล้านบาทเท่าที่ท่านเจ้าคุณเจริญเสียอยู่ในทุกวันนี้ 18,000 ล้านบาทที่ท่านไม่เสียก็คิดเป็นเงิน 54,000 ล้านบาท ผมจะชี้ให้เห็นว่า แล้วท่านเข้าคุณเจริญก็ใช้เศษเงิน หรือที่ผมเรียกว่าเศษกะดูกบางส่วน ซัก 500? หรือ พันล้าน เอามาโปรยมาหว่านจ่ายเป็นสินบาท คาดสินบนให้เจ้าหน้าที่ ข้าราชการกรมสรรพสามิต ตลอดจนนักการเมืองที่ดูแลกระทรวงการคลัง ตลอดจนผู้ที่กุมอำนาจรัฐทั้งหลาย แล้วให้ช่วยปกป้องกิจการสุราให้สามารถค้าภาษีรัฐได้ต่อไป 

ท่านผู้ฟังครับ ถ้าผมพูดไปแล้วท่านอาจจะไม่เชื่อ ท่านทราบหรือไม่ว่า ข้าราชการในกรมสรรพสามิตนั้น อุตสาหกรรมสุรานั้นเขาดูแลตั้งแต่ล่างจนถึงบนสุดอาจจะมีคนเพียงไม่กี่คนมั้งในกรมที่ไม่ได้อยู่ภายใต้ปกครองของกลุ่มสุรา ทั้งหลาย 

ท่านทราบหรือไม่ว่า บรรดาข้าราชการระดับสูง อธิบดี รองอธิบดีบางคนเมื่อเกษียณอายุไปแล้ว ท่านก็ไปนั่งไปเป็นที่ปรึกษา ล่าสุดมีรองอธิบดีคนหนึ่งที่เพิ่งเกษียณก็ไปนั่งเป็นที่ปรึกษาของบริษัทสุราของท่านเจ้าคุณ เจริญ 

ท่านผู้ฟังครับก็ในเมื่อไอ้คนที่จะต้องมากำกับกิจการสุราให้เป็นไปตามแนวนโยบายของรัฐ จะต้องดูแลให้เขาเสียภาษีเพื่อมาจับจ่ายใช้สอยที่เป็นประโยชน์สาธารณะ กลับไปตัดสินเข้าข้างคนที่ต้องเสียภาษีจะมาเป็นข้าราชการทำไมละครับ จะมาเป็นคนในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทำไม 

ท่านผู้ฟังเงินทองที่หว่านออกมานั้น หว่านเป็นกระบวนการ หว่านถึงขนาดที่เรียกว่า จากกระทรวงการคลังไปจนถึงกรมสรรพสามิต จากกรมสรรพสามิตมาถึงกระทรวงการคลัง 

ตำนานเรื่องเหล้านั้น เป็นตำนานที่น่าสนใจครับท่านผู้ฟัง เมื่อครั้งที่จอมพลสฤษดิ์ ธนรัตน์ปฎิบัติสำเร็จ ท่านก็มีพ่อค้าคนหนึ่งซึ่งคอยดูแลอุปภัมถ์ค้ำชูท่านมาตลอดตั้งแต่ท่านเป็นนายพันอยู่ภาคอิสาน คนๆนั้นชื่อ สหัส มหาคุณ พอท่านปฎิบัติเสร็จ คำแรกที่ท่านถามนายสหัสก็คือว่า “ลื้ออยากได้อะไรวะ ” เมื่อมีอำนาจก็จะอยากจะแบ่งสรรบันส่วน นายสหัสก็พูดอมตะวาจา ซึ่งเรื่องนี้เคยเขียนไว้แล้วในผู้จัดการรายเดือนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว นายสหัส มหาคุณ พูดอย่างน่ารักว่า “ผมขอทำเหล้าแมโขงครับ” 

การทำอุตสาหกรรมสุราในอดีตนั้นถูกแบ่งสรรบันส่วนเป็นสองกระทรวงดูแล ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนี้อยู่ คือ กระทรวงการคลัง และอุตสาหกรรม 

กระทรวงการคลังนั้นมีลักษณะการทำเหล้าแบ่งเป็นเขต สัมปทานโดยมีการประมูลผูกขาด การให้สิทธิประโยชน์ในการทำสุราและการออกจำหน่ายเป็นเขต สมัยเดิม 32 เขต ต่อมายุบเป็น 12 เขต คือแต่ละเขตนั้นให้ จำหน่ายสุราขาว สุรา เซี่ยงชุน และมีระบบสุราสีในเขตต่างๆคือสมมุตว่า ท่านผู้ฟังอยุ่ในเขตใดเขตหนึ่งเช่น ชลบุรี เหล้าขาวจะถูกผลิตให้ขายได้ในชลบุรี ส่วนสุราปรุงพิเศษ เป็นของกระทรวงอุตสาหกรรม สามารถผลิตแล้วขายได้ทั่วประเทศ โดยได้รับสัมปทานจากกรมโรงงานอุตาหกรรม 

เหล้าผสมพิเศษที่ว่านี้ ่ท่านผูฟังคงรู้จักชื่อนี้เป็นอย่างดี แม่โขง กวางทอง จำได้มั้ยครับ เมื่อเหล้านี้เกิดขึ้นแต่ละเขตก็มีคหบดีที่เป็นพ่อค้าเหล้าเจ้าประจำแต่บะเขตของใครของมัน และก็ถือกันว่า เหล้าแม้โขง กวางทอง เป็นเหล้าระดับชาติ ส่วนเหล้าที่ขายในเขตก็คือ เหล้าท้องถิ่น 

เมื่อนายสหัส มหาคุณ ได้สัมปทานเหล้าแม่โขงมา หลังจากนั้นก็ได้ว่าจ้าง นายเถลิง เหล่าจินดาเป็นมือขวาของตนเองในการเดินเรื่องค้าเรื่อง ติดต่อผู้ใหญ่ในแผ่นดิน เอาเงินเอาทองไปให้ ซื้อของขวัญไปให้ ลูกท่านหลานเธอจะไปเมืองนอก นายเถลิง เหล่าจินดาก็จัดสรรเงินทอง ดูแล อำนวยความสะดวกให้ผู้หลักผู้ใหญ่เหล่านี้ หลังจากนั้นแล้วก็มีการประมูลกันครั้งที่สอง นายสหัส และนายเถลิงก็ไปเอาหุ้นส่วนคนของตระกูลล่ำซำ โสภณพนิช เตชะไพบูลย์ เอี่ยมสกุลรัตน์ ที่ผูกขาดในธุรกิจเหล้า 

แม่โขง และกวางทองนั้น ขายดิบขายดี ครับ จนกระทั่งมาถึงจุดๆหนึ่งเมื่อกรมสรรพาสามิตที่ดูแลกิจการสุราอยู่ประกาศยุบเขตสุราจาก 32 เขตให้เหลือ 12 เขต แล้วให้ประมูลกัน แม้ว่า แม่โขง และ กวางทองจะขายดีขายได้ทั่วประเทศ แต่ต้องเสียภาษีแพง แพงกว่าเหล้าขาวที่ผลิตและขายในเขตนั้น และก็แพงกว่าเหล้าปรุงพิเศษ หรือ วิสกี้ จำได้ไหมครับสมัยก่อนที่เรามีโฆษณา โปสเตอร์เหล้าวิสกี้ ไก่แดง ที่ฮือฮา ที่เอานางแบบที่ลือลั่นในยุคนั้น ศิริขวัญ นันทศิริ มาเป็นแบบ 

ทีนี้เหล้าเมื่อผลิตออกมาในเขตๆหนึ่งภาษีจะเสียน้อยกว่าเหล้าที่อนุญาตให้ขายได้ทั่วประเทศ เมื่อมีการประมูลเหล้า12 เขตดังกล่าว การประมูลก็ดุเดือดเสร็จเรียบร้อยปรากว่า เจริญ ศรีสมบูรณานนท์ เป็นผู้ประมูลได้เขตหนึ่ง 

เจริญ ศรีสมบูรณานนท์ เป็นใคร มาจากไหน ก็เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งที่เอาของพวกโชห่วยมาขายในโรงงานสุรา เช่น ในโรงงานบางยี่ขัน ของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่เป็นแหล่งผลิตเหล้าแม่โขงมาก่อน ของพวกนั้นก็คือ แปรงขวดมั้ง อุปกรณ์ที่ต้องใช้ในโรงงานสุราเกือบทุกอย่าง 

เถลิง เหล่าจินดา เห็นหน่วยก้านของเด็กหนุ่มคนนี้ ที่เป็นคนคล่องแคล่ว ว่องไว ก็เลยให้มาอยู่ด้วย และเริ่มให้เป็นผู้ที่คอยติดต่อ ทำนู้นทำนี่ ติดต่อผู้ใหญ่ พูดง่ายๆว่าเป็นคนเปิดประตู ในวงการผู้ใหญ่ให้เด็กหนุ่มที่ชื่อ เจริญ ศรีสมบูรณานนท์ 

จนกระทั่งท่านผู้ฟังก็รู้ว่า ในการทำธุรกิจเหล้านั้นมีการรวมหุ้นกัน ในช่วงนั้นก็มีการร่วมหุ้นกันระหว่างกลุ่มนายเถลิง และ กลุ่มนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ก็เป็นที่รู้กัน ว่านายสุเมธ เป็นคนที่ยอมหักไม่ยอมงอ อะไรก็ตามที่ไม่โปร่งใสยุติธรรมก็จะไม่ยอม นายสุเมธนี้ก็คือ บิดาของนายพรเทพ เตชะไพบูลย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯในปัจจุบัน นายสุเมธได้เสียชีวิตไปแล้ว 

เพราะฉะนั้นความขัดแย้งนายสุเมธ และเถลิง ซึ่งแน่นอนมีนายเจริญรวมอยู่ด้วยนับวันก็รุนแรงขึ้น พอมีการประมูล 12 เขตที่ให้สิทธิในการผลิตเหล้าขาว และสุราสี ก็มีการแข่งขันสูง กลุ่มนายเจริญก็ประมูลได้เขตชลบุรี 

เมื่อประมูลได้ในตอนนั้น ก็มีเหตุที่เกิดขึ้นพอดีก็คือว่า ขณะนั้นคนที่ทำเหล้า หรือคนปรุง ซึ่งเหล้าจะดีหรือไม่อยู่ที่รสชาต แม่โขงที่โด่งดังมาได้ก็เพราะรสชาต คนปรุงเหล้าตอนนั้นเป็นข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมที่ชื่อว่า จุล กาญจนลักษณ์ เพราะฉนั้นสมัยก่อนสูตรของนายจุล ถือเป็นสูตรลับสุดยอด นายเจริญซึ่งปัจจุบันนี้กลายเป็นพญาช้างนี่ละครับ ก็วางแผนร่วมกับนายเถลิงที่เป็นลูกพี่เก่าซื้อตัวนายจุล โดยวิธีการซื้อก็โดยให้หุ้น ซึ่งขณะนั้นนายจุลเองก็ยังเป็นผู้ปรุงแม่โขง และ กวางทองของกรมโรงงานอุตสาหกรรม โดยที่ทั้งสองยี่ห้อเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาล เพียงแต่กลุ่ม เตชะไพบูลย์ กลุ่มล่ำซำเป็นผู้ประมูลได้จำนวนระยะเวลา 10-15 ปี เพราะฉนั้นกรรมสิทธิ์ของรัฐบาลอยู่ ดังนั้นนายจุลไม่ว่าจะออกไปทำงานที่ไหนก็ตามก็ต้องทำหน้าที่ปรุงแม่โขง กวางทอง 

นายเจริญ นายเถลิง ที่ให้หุ้นนายจุล ซึ่งก็รู้กันว่าเป็นหุ้นลม ก็มาตั้งบริษัททีซีซี ทีย่อมาจากเถลิง ซี ก็จุล และอีก ซี ก็เจริญ ทั้งสามก็เลยเข้าประมูลโรงเหล้าได้ที่เขตชลบุรีดังกล่าว และคิดจะผลิตเหล้าขาวเหมือนเดิม ส่วนเหล้าสีก็ไม่ต่างไปจาสุราปรุงพิเศษ ก็เลยคิดกันว่า ก็น่าจะผลิตเหล้าสีออกมาขาย ท่านผู้ฟังถ้าผมเอ่ยซื่อมา ท่านก็คงจะถึงบางอ้อครับ เหล้านั้นมีชื่อว่า หงส์ทอง ครับ 

หงส์ทอง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำความร่ำรวยให้นายเจริญ เมื่อผลิตออกมาแล้วถูกจำกัดเขตให้ขาย ตามที่ได้รับสัมปทาน ท่านเจ้าคุณเจริญ ท่านก็ส่อแววอัจฉริยะในตอนนั้น โดยทำให้ หงส์ทอง บินได้ 


ท่านผู้ฟังที่อายุซัก 40-50 ปีก็คงจำกันได้สมัยนั้นมีการร้องเรียนกันมากระหว่างสุรามหาราษฎร์ที่เป็นเจ้าของแม่โขง กวางทอง ก็โวยวายออกมา ทำไมมีหงส์ทองไปขายในเขตเชียงใหม่ ทำไมมีหงส์ทองขายในสระบุรี ทำให้สุราแม่โขง กวางทอง ยอดขายตก รัฐเก็บภาษีได้น้อยลง เพราะโดนเหล้าหงส์ทองตีภาษี ตีอย่างไร ก็หงส์ทองเสียภาษีแบบเหมาจ่ายคือ ผลิตเท่าไหร่ก็ได้แต่เสียภาษีเท่าที่ตกลง 

อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ ถ้าเป็นสัมปทานของกระทรวงการคลังซึ่งท่านผู้ฟังได้สัมปทานเขตๆหนึ่ง อัตราภาษีจะต่ำกว่าเหล้าที่ขายได้ทั่วประเทศ เพราะฉนั้นต้นทุนระหว่างหงส์ทอง กับแม่โขงต่างกันมาก กลุ่มนายเจริญสามารถที่จะเอาหงส์ทองที่บินข้ามเขตไปขายได้ในราคาต่ำมาก และขายได้ทั่วประเทศ มิหนำซ้ำรสชาตก็เหมือนกับแม่โขง ก็เพราคนที่ปรุงเป็นคนเดียวกันคือ คุณ จุล 

ท่านผู้ฟังครับ แล้วเหล้ามันข้ามเขตได้อย่างไร ข้ามได้ก้เพราะเจ้าหน้่าที่กรมสรรพสามิตร่วมมือ วิธีการที่หงส์บิน ท่านเจ้าคุณเจริญส่งเหล้าขายให้สโมสรทหาร โดยอ้างว่า ทหารต้องการจะเอาเหล้าหงส์ทองไปขายเฉพาะในสโมสรทหาร แต่ปรากฎว่าไม่ใช่ครับ รถทหารที่ขนเหล้ากลับกลายเป็นรถขนส่งจำหน่ายให้เหล้าหงส์ทอง โดยแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้ทหาร นี่คือจุดเริ่มต้นของการค้าภาษี ด้วยวามร่วมมือของเจ้าหน้าที่รัฐในการปิดหูปิดตาให้มีการกระทำเช่นี้ได้ ทำให้สัมปทานตัวหนึ่งซึ่งจ่ายผลประโยชน์ให้รัฐต่ำมากสามารถที่จะลอบเอาสินค้าของตัวเองที่มีต้นทุนต่ำกว่าคนอื่น เอาไปขายแข่งกับแม่โขง และกวางทองที่เสียภาษีสูงกว่า 

นี่ละครับท่านผู้ฟัง จะเห็นได้ชัดว่า จุดเริ่มต้นของความร่ำรวยก็มาเป็นของธรรมดา วิชามารในช่วงแรกอย่างที่ผมเคยเรียนให้ทราบแล้วว่า กลุ่มของท่านเจ้าคุณเจริญ ที่ให้หงส์ทองเข้ามาตีแม่โขง กวางทอง เมื่อร่ำรวยแล้วก็เขาเงินมาประมูลโรงเหล้าในนามบริษัทสุราทิพย์ ขณะเดียวกันก็จ่ายค่าจ้างอดีต อธิบดีกรมสรรพสามิต คนหนึ่งซึ่งเป็นผู้วางแผนให้กลุ่มเจริญ และ 
เป็นผู้วางทายาทในสรรพสามิตให้เจริญเติบโตในกรมเพื่อมาช่วยกลุ่มนายเจริญ 

เมื่อประมูลโรงเหล้าทั้ง 12 เขตได้แล้วส่วนนี้ก็ได้กลายเป็นฐานที่มั่นให้นายเจริญ เจริญมั่งคั่ง ยึดข้าราชการกระทรวงการคลัง และอาศัยนายธนาคารอย่างไทยพาณิชย์ กสิกรไทย ไปร่วมกับข้าราชการประจำ และนักการเมือง เข้ายึดบริษัทสุรามหาราษฎร์ โดยใช้อิทธิพลทางการเงินซื้อตำแหน่งที่สำคัญของสองกระทรวงเพื่อให้เอื้อต่อการผูกขาดในการผลิตเหล้าขาวและเหล้าสี อาศัยการค้าเสรีซึ่ีงเป็นเรื่องจอมปลอมบังหน้า 

ท่านผู้ฟังครับ การทำสงครามเหล้าของท่านเจ้าคุณเจริญได้ใช้ฐานของโรงงานสรรพสามิตมาเป็นฐาน อย่างที่เป็นตำนานหงส์ทอง และเมื่อรวยแล้วก็รุกคืบยึดแม่โขง โดยประมูลโรงงานบางยี่ขันของกรมโรงงานอุตสหกรรมโดยเสนอให้ผลประโยชน์กับรัฐสูง 45.67 ของการขายส่งของการผลิตทั้งหมด สูงกว่ากลุ่มสุรามหาราษฎร์เดิม เพราะ เมื่อรวมกับที่ตนเองมีฐานเหล้าขาว และสุราปรุงพิเศษอยู่แล้วก็มีโอกาสสูงที่จะเสนอให้รัฐสูง แต่ท่านผู้ฟังครับก็เป็นการเสนอให้รัฐสูงในตอนแรกเท่านั้น เพราะต่อมาก็ใช้กลวิธีวิชามารในการยักย้ายถ่ายเท ลดภาษีจนมีกำไรมากมายมหาศาล 

ในขั้นสุดท้ายเมื่อเขายึดทุกอย่างได้เรียบร้อยแล้วและมาถึงการเปิดเหล้าเสรี การไม่ยอมภาษีเหล้าด้วยการทำสต็อกเหล้า และเอาเปรียบทุกวิธีทางให้รัฐเสียประโยชน์ประมาณ 18,000 ล้านบาท อย่างน้อย 3 ปีหรือประมาณ 54,000 ล้านบาท นั่นคือภาษีจากการสต็อกหรือการตุนเหล้า 

ขอย้อนกลับมาที่ประมูลเหล้าแม่โขงได้ ท่านเจ้าคุณเจริญก็มาเจรจาตกลงกับกลุ่มเตชะไพบูลย์ โดยให้เจ้าหน้าที่เป็นธนาคารต่างๆในยุดนั้น โดยที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินท์ และม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล เป็นผู้เจรจาหย่าศึก เพื่อแบ่งประโยชน์เพื่อทำให้ธนาคารได้หนี้คืน 

เบื้องหลังการเจรจาหย่าศึกจริงๆแล้ว ท่านผู้ฟังทราบไหมครับว่า วันที่กลุ่มเจริญประมูลได้ กลุ่มเดิมทำแม่โขงสต็อกเหล้าไว้ เมื่อต่างฝ่ายต่างมีเหล้าที่ต้องขาย กลุ่มใหม่จะผลิตก็ต้องมีปัญหากับสต็อกเดิม ดังนั้นต้องซื้อสต็อกเหล้านี้ออกไปซึ่งท่านผู้ฟังครับ การทำสต็อกนั้นแท้ที่จริงแล้วผิดสัญญา ความจริงต้องเสียค่าปรับ และเมื่อผลิตไม่ได้ก็ต้องเสียค่าปรับอีก ยึดสแตมป์ที่เสียไปแล้วคือเพราะไม่ได้ผลิตตามที่ขอไว้ สรุปง่ายๆก็คือ การสต็อกจะทำให้คู่แข่งที่คิดจะผลิตเหล้ามาแข่งทำได้ยาก 

สมมุติว่าผมได้สัมปทานแม่โขง กวางทอง ท่านผู้ฟังเป็นท่านเจ้าคุณเจริญ ประมูลได้ต่อจากผม ผมแพ้ แต่การประมูลนั้นส่วนใหญ่จะทำล่วงหน้า 2-3 ปี เมื่อประมูลแพ้ผมก็ไม่ต้องทำอะไรผลิตแต่เหล้าแล้วเก็บเอาไว้บนฐานภาษีเดิม ฐานภาษีใหม่จะเริ่มคิดก็ต่อเมื่อมีการผลิตใหม่ของกลุ่มใหม่ เพราะฉะนั้นผมจะได้เปรียบตรงนี้ ต้นทุนผมจะถูกกว่า เมื่อผมสามารถตุนได้อย่างน้อย 2-3 ปี ถ้าท่านจะมาแข่งก็จะลำบาก ท่านก็ต้องมาเจรจาของซื้่อสต็อกจากผมไป ก็คือว่า ไม่ต้องให้ผมเอาเหล้าออกมาแข่งในตลาด 

การตุนเหล้าถือว่าผิดกฎหมาย ถ้าไม่ขายรัฐก็จะยึดสแตมป์ แต่แปลกเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิตไม่ยึด เพราะเจ้าหน้าที่่ร่วมมือ และที่น่าสนใจมีการนำสแตมป์มารีไซเคิลอีก 

ท่านผู้ฟังเห็นหรือครับว่า ปัญหาใหญ่มันเริ่มมาจากไหน เพราะข้าราชการไม่ได้รับใช้แผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์ 

ในตอนหน้าผมจะกลับมาว่า ภาษีที่ข้าราชการ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง บางคนได้ร่วมมือกับสุรามหาราษฎร์ สุราทิพย์ไม่ต้องเสียภาษีปีละ 18,000 ล้านบาท 

ท่านผู้ฟังครับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเรากำลังมีปัญหาเรื่องการเก็บภาษี แต่ท่านไม่ได้หันมามองในเรื่องนี้เลย ผมไม่รู้ว่าท่านแกล้ง หรือ จงใจมองไม่เห็น เรื่องทั้งหมดนี้อยู่ในมือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พิสิฐ ลี้อาธรรม ครับ นักวิชาการ ที่เราคิดว่าใจซื่อมือสะอาด ขอให้เราจับตาให้ดีครับ 

เรื่องนี้ยังไม่จบครับ มีต่อ อย่าพลาดเป็นอันขาดครับ เพราะท่านจะหาฟังจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้วครับเพราะแผ่นดินนี้มีไม่กี่คนที่ไม่ได้รับสินบนจากนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ผม พายัพ วนาสุวรรณ เป็นอีกคนที่บังเอิญไม่ได้รับสินบนจากนายเจริญ สวัสดีครับ


“เจริญ สิริวัฒนภักดี” คนคนหนึ่งที่ไต่เต้าจากคนขายของโชห่วย กลายมาเป็น “ท่านเจ้าคุณ”ของใครหลายคน ด้วยอำนาจบารมีและเม็ดเงินที่เกื้อกูลทั้งข้าราชการ นักการเมือง วันนี้เขายังผูกขาดธุรกิจสุราของประเทศทั้งๆที่รัฐบาลเปิดเสรีแล้ว ประหยัดเงินแค่ภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐได้กว่า 54,000 ล้านบาท เบื้องหลัง ความยิ่งใหญ่ของเจ้าพ่อน้ำเมายังมีอะไรที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคาดไม่ถึง “พายัพ วนาสุวรรณ” คอลัมน์นิสต์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของหนังสิือพิมพ์ผู้จัดการ นำเรื่องของเจ้าพ่อน้ำเมา “เจริญ สิริวัฒนภักดี” มาตีแผ่จนถึงราก ใน “คารวะแผ่นดิน”ทางสถานีไอเอ็นเอ็นนิวส์ เรดิโอ 99.5 เมกะเฮิร์ตซ เมื่อคืนวันจันทร์ที่16 ตุลาคมและต่อเนื่องถึงวันจันทร์ที่ 23 ที่ผ่านมา 

ในสองตอนที่ผ่านมา (ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับวันอังคารที่ 17 และอังคารที่24 ) พายัพ วนาสุวรรณได้พูดถึงวิชามารของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ใช้ออกอย่างครบวงจร แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษที่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้สืบเสาะ เปรียบเหมือน “จอมยุทธผู้เหยียบหิมะไร้รอย” พร้อมทั้งเล่าตำนานเหล้าที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมาตั้งแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน ต่อไปนี้เป็นตอนที่สาม 

ท่านผู้ฟังครับ เมื่อช่วงที่แล้ว ผมได้พูดถึงเรื่องท่านเจ้าคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ผมได้พูดถึงความร่ำรวยของท่านเจ้าคุณเจริญว่าเป็นอภิมหาเศรษฐีอันดับหนึ่ง ท่านเจ้าคุณเจริญนั้นได้ร่ำรวยขึ้นมาจากอุตสาหกรรมการผลิตสุรา แล้วอุตสาหกรรมนี้ก็ได้มีการโกงภาษีรัฐอย่างมหาศาล จนกระทั่งโดยเฉลี่ยแล้วใน 3 ปีจากนี้ได้หลบเลี่ยงภาษีไปคิดเป็นเงินประมาณ ปีละ 18,000 ล้านบาท 

หลังจากที่รายการนี้ได้ออกไป ท่านผู้ฟังครับทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ คนที่อยู่ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ก็ได้รับการติดต่อเข้ามามากมายเหลือเกินน่ะครับ ส่วนผมเองนั้น ก็ได้รับจดหมายสนเท่ห์ครับ จากชายผู้ไม่ประสงค์ออกนาม ซึ่งชายผู้ไม่ประสงค์จะออกนามนี้ ก็ไม่ทราบว่าเป็นใครมาจากไหน แต่ว่าก็คงจะเดาไม่ยากหรอกครับ เข้าใจว่าคงเป็นหนึ่งในสมุนรับใช้อุตสาหกรรมเหล้าที่ก็ต้องทำงานให้คุ้มค่าเงินทอง หรือว่าเศษเนื้อเศษกระดูกที่เขาโยนมาให้ทานกัน 

ก่อนที่ผมจะเดินเรื่องต่อไป ในการอธิบายความที่มาที่ไปของอุตสาหกรรมเหล้านั้น ผมขออนุญาติท่านผู้ฟังได้อ่านจดหมายของชายนิรนามที่ได้ส่งมาให้ทางผม ผ่านมาทางกองบรรณา ธิการ โดยกองบรรณาธิการนั้นก็เอามาให้ผม จดหมายก็ขึ้นอย่างนี้ครับท่านผู้ฟัง เขาขึ้นว่า 

“พายัพเพื่อนรัก กรุณาอย่าได้เสียเวลาโจมตีเจ้าคุณเจริญที่คุณตั้งสมญานามให้นั้นอีกต่อไปเลย เพราะเรื่องนี้ในอดีตคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ก็ได้เคยโจมตีรุนแรงยิ่งกว่านี้ ในสมัยที่ สุเมธ เตชะไพบูลย์ ยังมีชีวิตอยู่ จนกระทั่งได้ตายไปแล้วก็ยังไม่ระคายเคือง ซ้ำยังถูกเปลี่ยนกิจการไปจนหมด เรื่องยุทธการหงส์บินข้ามเขต ยุทธการขายเหล้าขาวพ่วงเบียร์ช้าง การเอาที่ดินทุ่งนาป่าเขามาหลอกเอาเงินธนาคารมหานครไปใช้ทำเหล้า จนกระทั่งธนาคารเจ๊ง รวมทั้งเรื่อง การโกงภาษีสรรพสามิตที่คุณตั้งตัวเลขเอง เป็นหมื่นเป็นพันล้าน ด้วยการยักย้ายถ่ายเทผลกำไรระหว่างบริษัทเหล้าที่มีกำไรเอาไปผ่องถ่ายให้บริษัทอื่นในเครือที่ขาดทุน เพื่อโกงภาษีเงินได้นิติบุคคลของกรมสรรพากร เรื่องการเก็บเงินใต้โต๊ะยี่ปั้วหรือลูกค้าสุราของเขา หลีกเลี่ยงการออกใบเสร็จก็ดี รวมทั้งเรื่องการจ่ายเงินให้นักการเมือง ข้าราชการที่คุณสนธิ เคยขุดขุ้ยและกำลังโจมตีอยู่ในขณะนี้ ทำให้คุณเจริญเพียงแต่รำคาญเบื้องล่างเท่านั้น 

เชื่อเถอะในที่สุดทำอะไรไม่ได้หรอก เพราะเขามีนักกฏหมายที่เก่งที่สุดในเมืองไทย คือนายวรรณ ชันซื่อ และอื่นๆ รวมทั้ง ดร. ผู้เชี่ยวชาญแขนงต่างๆ มากมาย และข้าราชการ ประจำและเกษียณแล้ว เป็น เสือ สิงห์กระทิง แรด คอยให้คำปรึกษาแนะนำหลีกเลี่ยงได้ทุกวิถีทาง จนเหยียบหิมะไร้ร่องรอยตามที่คุณพูดนั่นแหละ บารมีและอำนาจการเงินเขาล้นฟ้า หัวเดียวกระเทียมลีบอย่างคุณจะสู้อะไรเขาได้ ฉะนั้นจงเลิกเป็นสมุนรับใช้กลุ่มสิงห์นั้นเสีย เฮียสนธิเขาหลอกใช้คุณชั่วครั้งคราว เท่านั้น ไม่จริงจังกับคุณหรอก เพียงคุณยุติการโจมตีกลุ่มเจ้าคุณเจริญเท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณปรารถนาใฝ่ฝันจะเป็นของคุณจนคุณพอใจและผมจะติดต่อมายังคุณเอง หวังว่าคงจะนึกถึงอนาคตของครอบครัวคุณบ้างไม่มากก็น้อยน่ะเพื่อนรัก ” 

จากเพื่อนผู้หวังดี 

ฟังแล้วเป็นยังไงครับท่านผู้ฟัง ผมไม่มีความเห็นอะไรครับท่านผู้ฟังครับ เรื่องแบบนี้เป็นธรรมดาถ้าไม่มีปฏิกิริยาอะไรนั้นมันก็คงจะผิดไปน่ะครับท่านผู้ฟัง เพราะคนเราพอรับเงินรับทองมาก็ต้องทำงานให้เขาเห็น ให้คุ้มค่ากับเศษกระดูกที่เขายื่นให้ 

ช่างมันเถอะครับท่านผู้ฟัง อย่าไปสนใจเรื่อง ไร้สาระนั้นเลยจะดีกว่า เรากลับมาสู่เรื่องที่มีสาระ 

เรื่องที่คนไทยทุกคน เรื่องที่ข้าราชการทุกคน เรื่องที่คนที่ยังมีความรักชาติ รักบ้านเมืองรักแผ่นดิน แล้วก็เรื่องที่คน ยังอยากจะให้ชาตินี้ยังมีอยู่โดยไม่สิ้นชาติ จะต้องให้ความสนใจ 

ท่านผู้ฟังครับ เรามักจะชอบไหว้คนที่มีเงิน เหตุผลเพราะว่าคนที่มีเงินนั้น ท่านผู้ฟังครับทำอะไรก็น่ารักไปหมด คนที่มีเงินมีทองมีทรัพย์สมบัติไปบ้านไหนก็ต้องมีคนยกย่อง สรรเสริญ ที่ยกย่องสรรเสริญนั้นจะยกย่องสรรเสริญเพราะสมบัติ เพราะรูป และก็เงินทอง แต่ว่าคนไทยในยุคนี้สมัยนี้ ไม่ค่อยจะถามหรอกว่า ไอ้ที่มีเงินมีทองมหาศาลนั้นมีมาได้ยังไง ไม่ค่อยมีคนสนใจที่จะตั้งปุจฉา และหาทางวิสัชชนาออกมา ว่าคนอะไร ทำไมค้าขายอะไรถึงร่ำรวยออกมาเช่นนี้ 

ไม่เคยครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังครับ เชื่อผมเถอะครับ 

คนที่มีเงินในเมืองไทย ร้อยละ 90 อาจจะถึง 99% ถ้าตรวจสอบที่มาที่ไปของเงินจริงๆแล้วจะเป็นเงินที่ไม่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของการทำมาค้าขายอย่างซื่อสัตย์สุจริตหรอกครับ 

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าทำเรื่องทำราวคดโกงชาวบ้านเขาก็ต้องคดโกงแผ่นดินครับท่านผู้ฟัง คดโกงแผ่นดินนั้นก็คดโกงได้หลายวิธี ก็อาจจะคดโกงในรูปแบบของการโกงภาษี ถ้าโกงภาษีเพื่อตัวเองด้วยตัวเองได้โดยที่ไม่มีใครช่วย ก็เลวน้อยหน่อย แต่ถ้าโกงภาษีอย่างชนิดกรณีอุตสาหกรรมเหล้า โดยมีข้าราชการกระทรวงการคลัง นักการเมือง และกรมสรรพสามิตทั้งกรมคอยช่วยอยู่ก็สามารถจะโกงได้เป็นหมื่นล้าน ก็เหมือนทรยศต่อชาติบ้านเมือง ที่ให้คุณตัวเอง 

ท่านผู้ฟังครับ เชื่อผมเถอะครับทุกอย่างที่เกิดขึ้นในทุกวันนี้ มันเกิดขึ้น เพราะว่า ข้าราชการเป็นตัวการ 

ท่านผู้ฟังครับวันนี้ผมจะพูดเรื่องระบบเหล้า ตั้งแต่ต้นจนจบ ตั้งแต่เริ่มแรกครับ มันคือการใช้ระบบ ประมูลผูกขาด เพราะฉะนั้นแล้วคนที่มีอำนาจที่จะชี้เป็นชี้ตาย ที่จะทำให้บริษัทนั้นมีกำไรมาก และมากขึ้น นั้น คือข้าราชการเพราะข้าราชการเท่านั้นเองที่เป็นคนคุมกติกาของทางการ เป็นคนคุมกติกา รักษาผลประโยชน์ของประเทศ 

แต่ข้าราชการไม่ได้รักษาผลประโยชน์ของประเทศ ไม่ได้มีจิตใต้สำนึก หรือจิตวิญ ญานของความเป็นข้าราชการ ไม่ได้มีจิตสำนึกและจิตวิญญานของคน ซึ่งเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว การคดโกงก็ย่อมเกิดขึ้น 

เพราะฉะนั้นแล้ว การจะคุมระบบให้อยู่นั้น ท่านผู้ฟังครับเราต้องคุมข้าราชการที่ดูแลกำกับเรื่องธุรกิจเหล้าให้จงได้ 

ท่านผู้ฟังจำได้ใช่ไหมครับ เมื่อคราวที่แล้วที่ผมพูดให้ฟัง ว่าเมื่อจอมพลสฤษด์ ถามนายสหัส มหาคุณ พ่อค้าซึ่งคอยเอื้ออุปถัมภ์จอมพลสฤษด์มาตั้งแต่สมัยเป็นนายพันว่าลื้ออยากได้อะไร นายสหัสก็บอกว่า อยากจะทำสุราแม่โขงครับ 

เพราะฉะนั้นแล้วเพื่อความกระจ่าง ผมจะอธิบายภูมิศาสตร์และความเป็นมาของอุตสาหกรรมเหล้าน่ะครับ 

ในอดีตนั้น เหล้าขาวเป็นเหล้าของชาวบ้าน สมัยก่อนเขาให้ทำกันเป็นเขตๆ ให้เป็นเรื่องการลงทุน ของนายทุนท้องถิ่นน่ะครับ 

เถ้าแก่คนนี้มีโรงสีข้าวอยู่ตรงนั้น จังหวัดนั้น ก็สามารถที่จะทำเหล้าขาวขายได้ เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือเหตุผลที่มาของเหล้าขาวสมัยก่อนที่มีถึง 32 เขต ในขณะเดียวกันนั้น ในการทำเหล้าในสมัยก่อนนั้น เขตแต่ละเขตก็เป็นเขตของคนๆนั้นไปเมื่อทำ เหล้าออกไปแล้วก็สามารถจะทำเหล้าสีออกมาได้น่ะครับ ก็แสดงว่าเป็นเรื่องของเขต และเป็นเรื่องของนายทุนส่วนท้องถิ่น 

ส่วนเหล้าวิสกี้ อย่างแม่โขงและกวางทองนั้น เป็นเหล้าซึ่งขายได้ทั่วประเทศ ก็คือว่ากรมโรงงานอุต สาหกรรมนั้น กระทรวงอุตสาหกรรมเป็นเจ้าของเหล้า 

เมื่อเป็นเจ้าของเหล้าแล้วก็มีสิทธิขายเหล้าวิสกี้นี้ได้ทั่วประเทศเพราะฉะนั้นแล้วอัตราภาษีที่ตั้งขึ้น มาก็มีอัตราภาษีที่ไม่เหมือนกันน่ะครับ ก็คือเหล้าขาว อัตราภาษีจะต่ำที่สุด รองลงมาเหล้าสีที่ผสมและก็ขาย เฉพาะในเขตนั้น แล้วก็ทำในเขตนั้นก็ถูกขึ้นมาหน่อย 

ส่วนเหล้าแม่โขงและกวางทองที่เขาเรียกว่าเหล้าสุรากลุ่มพิเศษนี้ก็เป็นเหล้าซึ่งสามารถจะผลิตขายได้ทั่วประเทศไทยเลย ท่านผู้ฟังจะเห็นว่าระบบเหล้านั้น เป็นระบบที่ทำทั้งใหญ่และเล็ก 

เล็กก็คือทำเฉพาะในเขตนั้น ส่วนใหญ่นี่ก็ทำทั่วประเทศ ขณะเดียวกันก็เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนมาก 

สมัยก่อนนั้นเหล้าไม่ใช่ธุรกิจอะไรใหญ่โตนักหรอกครับท่านผู้ฟัง ยกเว้นในเรื่องของการขายทั่วประเทศ เพราะฉะนั้นการผูกขาดที่เกิดขึ้นนั้น ลักษณะของโครงสร้างก็คือว่าผูกขาดมาตั้งแต่สมัยเปิดบริษัทสุรามหาราษฎร์ ซึ่งบริษัทสุรามหาราษฎร์นั้น มีตระกูลเตชะไพบูลย์ ตระกูลล่ำซำ ตระกูลโสภณพนิช หรือพวกเหล่าแบงก์ทั้งหลาย 

คนพวกนี้ทุกคนร่ำรวยมาจากเหล้า ร่ำรวยมาจากโรงรับจำนำ พอรวยมาจาก 2 อย่างนี้แล้ว ก็เริ่มพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นนายธนาคาร จากนายธนาคารก็พัฒนามาเป็นนักอุตสาหกรรม กลายมาเป็นนักธุรกิจ ระดับชาติและข้ามชาติที่เจริญเติบโตขึ้นมา 

เพราะฉะนั้นแล้วท่านผู้ฟังครับ สายใยโยงใยเรื่องนี้ ในเรื่องเหล้า โรงรับจำนำ จริงๆ แล้วดูให้ดีๆ ที่มาก่อนเหล้าคือฝิ่น พอเลิกฝิ่นก็มาเรื่องเหล้า พอเหล้าเสร็จก็มาเรื่องยาสูบ สมัยนั้นท่านผู้ฟังครับ สมัยก่อนนั้นตำแหน่งที่บทบาทสำคัญที่สุดมักจะเป็นผู้อำนวยการโรงงานยาสูบ ผู้อำนวยการสลากกินแบ่ง ผู้จัดการธนาคารออมสิน 

ส่วนผู้บริหารเรื่องเหล้า คืออธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ปลัดกระทรวงการคลัง ในการที่จะสร้างความสมดุลกันให้ทั่วไป ในการทำเหล้าทำยาสูบขายพวกนี้ เจ้าหน้าที่ของรัฐ ในสมัยนั้นทำหน้าที่เป็นนายทวาร ก็ คือว่าควบคุมเหล้าต้องควบคุมโรงงาน ขวดอย่างนี้ เสียเท่าไร ต้องติดแสตมป์เสียภาษีเท่านั้น เมื่อเสียภาษีกันเรียบร้อยแล้วก็ค่อยมาจัดจำหน่าย 

ระบบตรงนี้เมื่อได้มีการปฏิวัติ มีรัฐบาลเผด็จการโดยทหารมีอำนาจเข้ามาควบคุมแล้ว ทหาร ก็สามารถจะควบคุมข้าราชการพลเรือนทุกอย่างให้อยู่ในแถวที่ตัวเองต้องการจะตั้ง 

แต่ต่อมาท่านผู้ฟังครับเมื่อระบบมันเปลี่ยน แปลงไปนายทุนท้องถิ่นเข้มแข็งขึ้นธุรกิจตัวเองก็กระ จายออกไปมาก ทุกคนก็เริ่มหันไปมีธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเหล้า แล้วจำเป็นต้องผูกขาดกันต่อไป เช่น การทำกล่องกระดาษก็มี การทำแก้วขวด ก็มีองค์การแก้วน่ะครับ ก็คือพูดง่ายๆ ว่า มาผูกขาดองค์การแก้ว ซื้อแก้วมาเพื่อผลิตสุราแม่โขง อย่างเดียวน่ะครับ แต่ไม่มีโครงสร้างอะไรที่เป็นกิจ กรรมซึ่งแข่งขันกันเพื่อสร้างความมีประสิทธิภาพ และ ให้มีราคาที่ถูก เพราะฉะนั้นสายใยและโยงใยและความคิดในการทำธุรกิจนั้นก็คือการผูกขาดนั่นเอง 

เมื่อตัวเองนั้นเคยผูกขาดอย่างไรมาในอดีต ท่านผู้ฟังครับในวันนี้เวลานี้ วันนี้วันที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2543 ก็ไม่ได้ต่างไปกว่าเมื่อ 43 ปีที่แล้วที่จอมพลสฤษด์ ปฏิวัติแล้วให้นายสหัส มหาคุณ ทำสุราแม่โขง ก็คือพยายามผูกขาดต่อไป แล้วก็เป็นสิ่งที่เขาเคยชินกัน 

โดยเหตุผลที่เป็นความเคยชินก็เพราะว่า เขา ดูถูกทุกคนที่กินเหล้าว่าเป็นไอ้ขี้เมา จะแพงยังไงจะถูก ขูดรีดยังไงก็ต้องกิน เพราะเขาไม่แคร์หรอกครับท่านผู้ฟังเนื่องจากเขาผูกขาด 

สมัยก่อนการตั้งโรงงานสุราตามเขตนั้นก็เป็นอย่างที่ผมเรียนให้ท่านผู้ฟังทราบแล้วว่า เขตใครเขตมันน่ะครับ พอผ่านมาในช่วงยุคหนึ่งถ้าจำไม่ผิดก็คือในสมัยที่ท่านรัฐมนตรีเสริม วินิจฉัยกุล และนายสมหมาย ฮุนตระกูลเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ก็ได้มีการประมูลเขตสุรา 32 เขต 

ท่านผู้ฟังต้องทำความเข้าใจอีกนิดน่ะครับ สัมปทานการผูกขาดการขายสุรานั้น แบ่งออกเป็น 2 กระทรวง ทบทวนความจำน่ะครับท่านผู้ฟังเพื่อความเข้าใจ กระทรวงการคลังนั้นจะเป็นผู้อนุญาต ให้มีการทำสัมปทานขายสุรา ก็คือสุราขาวหรือเหล้าขาว เหล้าเชี่ยงชุน เหล้าสี หรือว่าอาจจะเป็นเหล้าสีที่ผลิตมาจะใช้ยี่ห้อไหนก็ได้แต่ว่าให้ขายเฉพาะ ในเขตนั้นท่านผู้ฟังครับ 

สมัยก่อนประเทศไทย แบ่งออกเป็น 32 เขตน่ะครับ เพราะฉะนั้นกระทรวงการคลังจะคุมตรงนี้ แต่ว่าเงื่อนไขมีอยู่ข้อเดียวคือว่า ให้ขายเฉพาะในเขตนั้น ไม่ให้ข้ามเขตแล้วก็เหล้าที่ผลิตนั้น เนื่องจากว่าเป็นเหล้าที่ขายในเขตนั้น ฐานภาษีก็เลยต้องต่ำ ต่ำมาก นั่นคือโรงงานผลิตสุรา 32 เขตซึ่งขึ้นอยู่กับกระทรวงการคลัง กรมสรรพสามิตส่วนเหล้าสีนั้นก็สูงขึ้นไปนิดหนึ่ง 

ส่วนกระทรวงอุตสาหกรรมนั้นก็เป็นผู้อนุญาตให้ทำเหล้าขายได้ทั่วประเทศ โดยใช้ชื่อว่า สุราปรุงพิเศษ โดยมีเหล้าชื่อแม่โขง และ กวางทอง เป็นเหล้าของกระทรวงอุตสาหกรรม ใช้โรงงานที่กระทรวง อุตสาหกรรมเป็นเจ้าของผลิต ชื่อที่เรารู้จักกันดีคือโรงงานสุราบางยี่ขันนั่นเอง แต่ฐานภาษีของเหล้าของ กระทรวงอุตสาหกรรมก็จะแพงกว่าของกระทรวงการ คลัง 

ท่านผู้ฟังเข้าใจโครงสร้างแล้วน่ะครับ ต่อมาก็มีการประมูล กระทรวงการคลังให้มีการประมูล 32 เขต โดยที่การประมูล 32 โรงครั้งแรกนี่ก็เลยมีการ ทะเลาะกัน ระหว่างกระทรวงการคลังและกระ ทรวงอุตสาหกรรม ถามว่าทำไมก่อนหน้านั้นถึงได้ไม่ มีการประมูล สมัยนั้น 32 เขต เพราะ ว่ามีการผูกขาดและต่อสัญญากันมาตลอด คือ ที่มีการต่อสัญญาก็คือ จริงๆแล้วคนซึ่งลงทุนในสุราที่อยู่ตามเขตของกระทรวงการคลัง กับคนซึ่งลงทุนในสุรากลุ่มพิเศษของกระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งขายได้ทั่วประเทศนั้นจริงๆแล้ว เป็นคนพวกเดียวกันครับ ก็คือระหว่างสุรามหาราษฎร์กับพวกที่อยู่ตามเขต ต่างๆ หุ้นกันไปหุ้นกันมาอย่างเช่น กลุ่มแม่โขง ซึ่งเป็นกลุ่มสุรามหาราษฎร์ ซึ่งผลิตเหล้าแม่โขงของกระทรวงอุตสาหกรรม อีกด้านหนึ่งก็ไปทำสุราท้องถิ่นแบ่งเป็นภาค 

อย่างเช่น นายวานิช ไชยวรรณ ไปทำเขตภาคใต้ ชื่อสุราตะลุง นายโกเมน ไปคุมที่นครปฐม ด้านกาญจนบุรีและทางอีสาน เป็นของตระกูลเตชะไพบูลย์ ส่วนทางเหนือของพวกภัทรประสิทธิ์ ซึ่งเป็นตระกุลของท่านรัฐมนตรีช่วยประดิิษฐ์ ภัทรประสิทธิ์ ทางเหนือนครสวรรค์ คือถ้าดูไปแล้ว ทุกคนมีกลุ่มของตัวเอง มีเอเยนต์รวมกัน แต่ในขณะเดียวกันนั่นก็แข่งกันคือทำทั้งโรงเล็ก และโรงใหญ่ร่วมกัน โรงเล็กก็คือสุราในเขต โรงใหญ่ก็คือมารวมกลุ่มกันทำสุราแม่โขงซึ่งขายทั่วประเทศ 

ท่านผู้ฟังครับ เมื่อกี้นี้ผมจบลงในตอนแรกด้วยการพูดถึงเรื่องการประมูลโรงเหล้า 32 เขต ซึ่งเป็นการประมูลครั้งแรกในประวัติศาสตร์ กระทรวงการคลัง ที่เป็นเช่นนี้ เพราะว่าในอดีตนั้นโรงเหล้าทั้ง 32 เขต มีการต่อสัญญากันมาทุกปีๆ ในการประมูลครั้งนั้น มีการประมูลกันอย่างคลาสสิคที่สุด คือมีคนแกล้งเสนอให้ราคาค่าประมูล 9,999 บาทต่อ 1 เท ก็ คือพูดง่ายๆว่าตั้งราคาไปอย่างนี้รับรองทำไม่ได้ เสร็จ แล้วทุกคนก็เบี้ยวก็คือฟ้องศาล ก็คือว่าทำไม่ได้ ทำตามสัญญาไม่ได้ ก็เลยเกิดสงครามเหล้าเป็นครั้งแรกระหว่างพ่อค้าเหล้ากับรัฐบาล ซึ่งในการฟ้องศาลนั้น ก็มีการฟ้องว่าทำไม่ได้รัฐบาลก็ฟ้อง ฝ่ายนี้ก็ฟ้อง 

สรุปง่ายๆว่ากระทรวงการคลังเก็บภาษีไม่ได้เลย เป็นเวลา 2 ปี เพราะทุกโรงงานไม่ยอมเสียภาษีให้กระทรวงการ คลังเพราะว่าผู้ประมูลอ้างว่าทำไม่ได้ทั้งๆที่เป็นผู้ประ มูล ขึ้นศาล ขึ้นกันตลอดเวลา จนกระทั่งมีการประนี ประนอมกันขึ้นมาโดยที่มีทนายความซึ่งเป็นผู้พิพาก ษา เก่าคนหนึ่งชื่อ นายวินัย ทองลงยา เข้ามาเป็นคน ไกล่เกลี่ย โดยการทำตัวเหมือนอนุญาโตตุลาการในเรื่องนี้ ผลที่สุดสงครามเหล้าระหว่างพ่อค้าสุรากับรัฐบาลก็เลิกกัน แล้วก็ทุกคนไปเริ่มภาษีกันใหม่ เสียภาษีกันใหม่ ก็คือว่าประนีประนอมเสร็จ ก็คือว่าเอาล่ะทุกคนเสียภาษีเหมือนเดิมน่ะ ก็คือว่าเคยเสียยังไงในช่วงก่อนการประมูลก็เสียไปแบบนั้น แต่ในเงื่อนไข นั้นต้องมีการประมูลใหม่ 

ประมูลใหม่ครั้งนี้เขายก 32 เขตลงมาให้เหลือ แค่ 12 เขตก็คือพูดง่ายๆว่าไอ้ 32 เขตที่ประมูลพ่อค้า มันแกล้งตั้งราคาประมูลไว้สูง แล้วก็เลยไม่จ่าย จึงยื่นฟ้องต่อศาลว่าราชการ เอาเปรียบศาลก็รับ ฟ้อง ราชการเก็บภาษีไม่ได้เป็นเวลา 2 ปี ก็เลยต้องกลับไปประนีประนอมก่อนสู่ระบบเดิม ลดภาษีลง แก้ ปัญหาว่าจะแก้กันยังไง เสร็จแล้วค่อยเริ่มประมูลใหม่ โดยที่ในการประมูลใหม่นั้นก็มีการตกลง พูดง่ายๆว่า ยอมให้มีการใช้ระบบเหมาภาษีจ่ายแทนคิดเป็นขวด จากการที่ประนีประนอมกันตรงนั้นก็เลยเกิดระบบภาษีเหมาขึ้นมา ท่านผู้ฟังเห็นหรือยังครับฤทธิพ่อค้าเหล้า ซึ่งจริงๆแล้วก็คือคนที่ทำมาค้าขาย เอาสิ่งที่มอมเมาให้กับประชาชนแล้วตัวเองกำไรน้อยเกินไปก็เลยแกล้งเบี้ยวรัฐบาลซะ


“เจริญ สิริวัฒนภักดคนคนหนึ่งที่ไต่เต้าจากคนขายของโชห่วย กลายมาเป็น “ท่านเจ้าคุณ”ของใครหลายคน ด้วยอำนาจบารมีและเม็ดเงินที่เกื้อกูลทั้งข้าราชการ นักการเมือง วันนี้เขายังผูกขาดธุรกิจสุราของประเทศทั้งๆที่รัฐบาลเปิดเสรีแล้ว ประหยัดเงินแค่ภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐได้กว่า 54,000 ล้านบาท เบื้องหลัง ความยิ่งใหญ่ของเจ้าพ่อน้ำเมายังมีอะไรที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคาดไม่ถึง 

“พายัพ วนาสุวรรณ” คอลัมน์นิสต์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของหนังสิือพิมพ์ผู้จัดการ นำเรื่องของเจ้าพ่อน้ำเมา “เจริญ สิริวัฒนภักดี” มาตีแผ่จนถึงราก ใน “คารวะแผ่นดิน”ทางสถานีไอเอ็นเอ็นนิวส์ เรดิโอ 99.5 เมกะเฮิร์ตซ เมื่อคืนวันจันทร์ที่16 ตุลาคมและต่อเนื่องถึงวันจันทร์ที่ 23 ที่ผ่านมา 

ในสามตอนที่ผ่านมา (ลงตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการฉบับวันอังคารที่ 17 และอังคารที่24 ) พายัพ วนาสุวรรณได้พูดถึงวิชามารของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ใช้ออกอย่างครบวงจร แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษที่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้สืบเสาะ เปรียบเหมือน “จอมยุทธผู้เหยียบหิมะไร้รอย” พร้อมทั้งเล่าตำนานเหล้าที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมาตั้งแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน 

โดยล่าสุดในตอนที่สามที่ผ่านมานั้น พายัพ ได้เล่าให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ฉายแววความเป็นอัจริยะในการโกงรัฐ และ เลห์ทางการค้าที่ใช้ต่อกรกับคู่แข่งขันที่เข้มแข็งอย่างกลุ่มสุรามหาราฏร์ ด้วยการติดปีกให้“หงส์ทอง”สามารถผยองเดชบินข้ามเขตไล่ตีแม่โขง กวางทอง จนกระเจิง และ จากนี้ต่อไปจะเป็นตอนที่ 4 

ท่านผู้ฟังครับ เคยสงสัยไหมครับว่าใครเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริง 

ในการประมูล 32 เขตครั้งแรกที่มีการฟ้องร้องกัน แล้วในที่สุด มีการประนีประนอมกันยอมความกัน โดยที่ให้คิดภาษีแบบเดิมไปก่อนน่ะครับ หรือว่าคิดภาษีแบบเหมาจ่ายน่ะครับ 

ใน 32 เขตนั้นคนที่ประมูลได้ 2 เขตในตอนนั้น คือกลุ่มของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี น่ะครับ ซึ่งสมัยนั้นยังใช้นามสกุล ว่า ศรีสมบูรณานนท์น่ะครับ นายเจริญได้ 2 เขตใน 32 เขต ซึ่ง 2 เขตนี้ก็ครอบคลุมทั้งหมด 13 จังหวัด ซึ่ง 2 เขต เขตหนึ่งนั้น ก็เป็นเขตทางภาคตะวันออกจังหวัดชลบุรี อีกเขตเป็น ขององค์การสุราด้วย 

ใน 2 เขตที่ อยู่ใน 32 เขตที่นายเจริญ ประมูล ได้นั้น ก็เลยผลิตเหล้าหงส์ทองขึ้นมา เพื่อมารุกตลาด เหล้าแม่โขงที่ผมได้เรียนให้ทราบแล้วตั้งแต่เมื่ออาทิตย์ที่แล้วว่า ก็เลยตั้งบริษัท tcc ขึ้นมา ชื่อบริษัท เถลิงจุลและเจริญ t คือ เถลิง c คือจุล และ c อีกตัว คือเจริญ เถลิง ก็คือเถลิง เหล่าจินดา เจ้านายเก่าของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี น่ะครับที่วันนี้ก็ถูกนายเจริญกลืนไปหมดเรียบร้อยแล้ว 

ส่วน c ตัวแรกก็คือนายจุล กาญจนลักษณ์ นั้นก็คือ คนซึ่งเป็นผู้ผลิตเหล้า เป็นผู้ที่ผสมสูตรเหล้า แม่โขง และกวางทอง ของกระทรวงอุตสาหกรรม เป็น ข้าราชการกระทรวงอุตสาหกรรมครับแต่ว่านายเจริญ เอามาร่วมเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท tcc น่ะครับ และบริษัท tcc อันนี้ ก็มาผลิตเหล้าหงส์ทอง โดยที่เหล้าหงส์ทองนั้น สูตรเหมือนแม่โขงทุกประการเพราะปรุงจากคนคนเดียวกัน หงส์ทองน้องฝาแฝดแม่โขงครับ สูตรเหมือนแม่โขงเป๊ะเลย เพียงแต่ฐานภาษีนั้นต่ำกว่าแม่โขงมากก็เลยเกิดการที่เขาเรียกว่า หงส์บินข้ามเขตครับท่านผู้ฟังที่ผมได้เล่าให้ฟัง ก็คือหงส์ทองนั้นจะต้องถูกขายเฉพาะในเขตชลบุรีเท่านั้นเอง แต่ว่าแอบส่งไปขายได้ ทั่วประเทศ ก็เลยเกิดการทำมาหากินอย่างชนิดที่เรียกว่ากำไรมหาศาลคือ หลีกเลี่ยงภาษี ทำผิดกฏหมายมาตลอด 

พอกำไรแล้ว พอมีการประมูลใหม่โดยที่รวม 32 เขต ยุบออกมาให้เหลือ 12 เขตอย่างที่ผมเรียนให้ทราบน่ะครับ ก็คือที่รัฐบาลยุบเหลือ 12 เขต นายเจริญ ก็เอาเงินที่กำไรอย่างมากมายในการทำหงษ์บินข้ามเขตมาประมูล 12 เขตนี้ 

ประมูลได้หมด เพราะว่านายเจริญ ไปดึงเอาหุ้นส่วนหลายหุ้นส่วนมารวมกัน เพื่อที่จะรบกับบริษัทสุรามหาราษฎร์ เพราะตอนนั้น ยังแยกกันอยู่ พูดโดยสรุปง่ายๆว่า ใน การประมูล 32 เขตครั้งแรกนั้นนายเจริญได้ไป 2 เขต ใน 32 เขต แล้วก็ผลิตเหล้าหงส์ทองที่ฐานภาษีต่ำ ที่ กฏหมายกำหนดให้ขายได้เฉพาะในเขตนั้น แล้วก็ใช้ ความช่วยเหลือของเจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต ทำหงส์ทองเป็นหงส์บิน ก็คือบินข้ามเขต ไปขายข้ามเขต อย่างผิดกฏหมาย กรมสรรพสามิตก็ไม่ทำอะไร 

ร่ำรวยมาจากตรงนี้แล้วมารวบรวมเรียกเพื่อน ฝูงมาเข้าหุ้นเพื่อประมูล 12 เขตที่ถูกยุบมาจาก 32 เขต แล้วในที่สุดความฝันก็เป็นจริง นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ซึ่งในขณะนั้นยังใช้นามสกุลว่า ศรีสมบูรณานนท์ ก็ประมูลได้ 12 เขต และตรงนี้ก็เป็นฐานของบริษัทที่ตัวเองตั้งขึ้นมา ชื่อ บริษัท สุราทิพย์ 

ท่านผู้ฟังครับ บริษัท สุราทิพย์นั้น ต่างกว่าบริษัท tccเพราะ บริษัท tcc นั้น คือบริษัทของการเริ่มต้นที่ประมูลได้ 2 เขต จาก 32 เขต เพื่อผลิตเหล้าหงส์ทอง โดยบริษัท tcc นั้นเป็นการร่วมทุนระหว่าง คุณเถลิง คือ t c คือคุณจุล กาญจนลักษณ์ ผู้ผสมเหล้าแม่โขง เข้าของสูตรเหล้าแม่โขง แล้ว c อีกตัวคือ นายเจริญ เมื่อร่ำรวยจาก tcc แล้วก็เอาเงินนี้มาประมูล 12 เขต แล้วก็มาตั้งบริษัทใหม่ที่เป็นเจ้า ของ 12 เขตนี้ ชื่อบริษัท สุราทิพย์ เพื่อ ขึ้นมาชนกับบริษัทสุรามหาราษฎร์ ซึ่งในขณะนั้นนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ ได้รับมอบหมายจากตระกูลให้เป็นผู้ที่ดูแลบริษัทนี้ 

ในขณะนั้น มีความพยายามที่จะรวมบริษัทสุรามหาราษฎร์ กับบริษัท สุราทิพย์ เข้าด้วยกัน เพราะว่าเมื่อบริษัท สุราทิพย์ ประมูลได้ 12 เขตแล้วก็เท่ากับบริษัทสุราทิพย์ สามารถที่จะผลิตเหล้าตระกูลหงษ์ออกมาขายได้ 12 เขตเช่นกัน ก็คือขายได้ทั่วประเทศ เขตใครเขตมัน อย่างเช่น เขต ชลบุรี อาจจะเป็นหงส์ทอง ทางภาคเหนืออาจจะเป็น หงส์แดง หงส์ฟ้า หงส์เหลือง หงส์ม่วง ก็คือเหล้าตระกูล หงส์นั่นเองครับท่านผู้ฟัง ซึ่งก็คือแม่โขงในรูปแบบของยี่ห้อหงส์นั่นเอง แต่ต้นทุนถูกมากกว่าแม่โขงและกวางทอง เพราะฐานภาษีต่ำกว่า 

คราวนี้ก็ไม่จำเป็นต้องบินข้ามเขตแล้ว ก็คือให้เขตโน้นเขตนั้น ผลิตเหล้าของตัวเองขึ้นมา แต่ว่าเป็นเหล้าแบบเดียว กัน ผสมแบบเดียวกัน เพื่อเอามาชนกับแม่โขง และกวางทองโดยเฉพาะ ตรงนี้ก็เลยได้มีการพยายามในครั้งแรกในขณะนั้น ที่จะรวมหุ้นกันระหว่างบริษัทสุรา มหาราษฎร์ และบริษัท สุราทิพย์ ให้เข้ามาอยู่ร่วมกัน คล้ายๆว่าอย่าทะเลาะกันเลย แต่ในการรวมนั้น รวมกันลำบาก เพราะว่า คุณ สุเมธ เตชะไพบูลย์ ซึ่งเป็นน้องชายคุณอุเทน เตชะไพบูลย์ เป็นคนประเภทยอม หัก ไม่ยอมงอ ก็เลยไม่ยอมที่จะทำเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เลย มีความขัดแย้ง ความพยายามนี้ก็เลยล้มเหลวไป 

ท่าน ผู้ฟังครับ สถานการณ์ ในตอนนั้น มันมีความเหมือน และความต่าง ในความเหมือนนั้น ก็คือว่าหุ้นส่วนใน บริษัทสุรามหาราษฎร์นั้น ก็มีอยู่ไม่น้อยที่เป็นหุ้นส่วน ในบริษัทสุราทิพย์ กับนายเจริญ ในความต่างก็คือว่า ความต่างระหว่างนายสุเมธ เตชะไพบูลย์ซึ่งไม่ถูกและ ไม่ชอบนายเจริญ ศรีสมบูรณานนท์ ในขณะนั้น นั่นคือความต่างน่ะครับ 

ท่านผู้ฟังครับหลังจากนั้นนายเจริญ ก็ได้ไปซื้อบริษัท ธารา คือเหล้าธารา ซึ่งเป็นเหล้าของนายประสิทธิ์ ณรงค์เดช ซึ่งบริษัทนี้ ได้ล่มสลายไปในตอนนั้น เหตุผลที่ไปซื้อเหล้าธารา คือซื้อใบอนุญาตเหล้าธารา แล้วก็มาผลิต เหล้าขึ้นมายี่ห้อหนึ่งท่านผู้ฟังคงจำได้ คือเหล้า แสงโสมน่ะครับ ก็ตั้งชื่อ บริษัท แสงโสม โดยใช้บริษัท tcc มา take over พอทีนี้ทำเสร็จก็เอาแสงโสมมาตีแข่งกับแม่โขง และ เผอิญแข่งลำบากเพราะต้นทุนของ แสงโสมแพงกว่าเพราะว่าค่าภาษีแพงกว่า แต่ว่าเขาไม่ห่วงหรอกครับ เพราะเขายึด 12 โรงได้แล้ว ยึดการ ผลิตเหล้า 12 โรงได้แล้วก็ออกเหล้าตระกูลหงส์ อย่าง ที่บอกไว้ตอนต้น ก็เป็นหงษ์ 12 ตระกูล หงส์สีต่างๆ 

แสดงว่าตอนนั้น การที่เข้าไปยึดทั้ง 12 เขต นั 
้นก็คือการคุมรากฐานและระบบเอเยนต์การจัดจำ หน่ายทั้งหมดทั่วประเทศไทย ที่จะทำให้สามารถแข่ง กับแม่โขงได้ เพราะถ้าไม่มีระบบจัดจำหน่ายทั่วประ เทศไทยจะไปแข่งกับแม่โขงไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้ว นายเจริญ ก็เลยใช้ฐาน 12 โรงมาวางรากฐานการวางเอเยนต์ เพื่อต่อสู้กับคู่แข่งตลอดทั่วประเทศไทย และอันนี้ก็เป็นจุดต่อมาซึ่งสร้างความขัดแย้งกันระหว่างเบียร์สิงห์ บริษัท บุญรอดบริวเวอร์รี่ และกลุ่มของนายเจริญน่ะครับ นี่คือที่มาอีกส่วนหนึ่งของการขายเหล้าพ่วงเบียร์น่ะครับ เพราะว่านายเจริญได้ คุมระบบการจัดจำหน่ายทั่วประเทศได้เบ็ดเสร็จ 

ยุทธการต่อไป ท่านผู้ฟังครับ คือการเข้าไปยึดบริษัทสุรามหาราษฎร์ ซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทาน การผลิตเหล้าแม่โขงและกวางทอง เพราะตอนนี้รากฐานของระบบเอเยนต์จัดจำหน่ายทั่วประเทศของตัวเองก็มีีแล้วระบบการผลิตของเหล้าใน 12 เขต ซึ่งเป็น ทั้งเหล้าขาวและเหล้าสีตัวเองก็มีอยู่แล้ว แสงโสมซึ่งผลิตออกมาเพื่อชนกับแม่โขงตัวเองก็มีอยู่แล้ว ก็เลยเกิดการที่เขาเรียกว่าสงครามการประมูลเหล้าแม่โขงขึ้นมาครับ 

ถ้าท่านผู้ฟังที่เคยติดตามเรื่องนี้มาคงจะพอจำได้ ถ้าจำได้แล้วไม่เข้าใจ หรือว่าจำไม่ได้ ตามผมมาซิครับแล้วผมจะเล่าให้ฟัง ท่านผู้ฟังครับในปีประมาณ พ.ศ. 2528 ในช่วงรัฐบาลชุด พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ได้มีการประมูลสัมปทานเหล้าแม่โขงและกวางทองที่กลุ่มเตชะไพบูลย์ถืออยู่ และจะหมดอายุสัมปทานขึ้นมา โดยที่ผู้ที่ได้รับสัมปทานเก่านั้น คือกลุ่มบริษัทสุรามหาราษฎร์ คือกลุ่มพวกเตชะไพบูลย์ และผู้ที่เข้ามาชิงแชมป์มในครั้งนั้น คือกลุ่มของ บริษัทสุราทิพย์ ก็คือกลุ่มนายเจริญ ศรีสมบูรณานนท์ ในขณะนั้น 

ในการประมูลครั้งนั้นเป็นการ ประมูลซึ่งสู้กันอย่างถึงพริกถึงขิง ทางกลุ่มเตชะไพ บูลย์ ก็ไม่คิดว่าทางกลุ่มนายเจริญจะให้ผลตอบแทนอย่างบ้าเลือดขนาดนั้น ทางกลุ่มเตชะไพบูลย์ก็คิดว่าการให้ผลตอบแทนแก่รัฐ 30% นั้นก็ค่อนข้างจะสูงอยู่แล้ว แต่พอมาเจอผลตอบแทนที่ทางกลุ่มนายเจริญให้ คือ 45.67% น่ะครับ หรือในที่การประมูลนั้นเขารู้กันว่านายเจริญนั้นให้เลข 4 ก็คือ 4567 นั่นคือ 45.67% ก็เลยทำให้กลุ่มของนายเจริญนั้นได้ไปน่ะครับ 

ในการทำงานที่จะประมูลเพื่อสัมปทานนั้น ท่านผู้ฟังครับลองไปตรวจสอบ ลักษณะการประมูลแบบให้สิทธิ์และแข่งกันว่า ใครให้ สิทธิ์สูงกว่าท่านผู้ฟังจะเห็นว่าร้อยละ 90 คนที่ประมูล ได้จะให้สิทธิสูงสุดโต่งเลย ทำไมถึงกล้าให้ล่ะครับ เพราะถ้าเขารู้ว่าถ้าได้สิทธิอันนั้นมาแล้ว เขาก็หาทางที่จะไปเกี้ยเซี้ยะ เจ้าเก่าที่สอบตก อาจจะให้เข้ามาร่วมทุนด้วย แต่เป็นผู้ถือหุ้นส่วนน้อย แล้วเขาก็จะ มาคุยกับรัฐบาลซึ่งเป็นเจ้าของสัมปทานน่ะครับว่า สัมปทานสิทธิอันนี้ต้องขอเจรจาใหม่เพราะให้สูงเกินไปทำไม่ได้ มันเป็นอย่าง นี้จริงๆครับ 

ท่านผู้ฟัง ประเทศเรานี่ ไม่ว่ากิจการอะไรก็ตาม ก่อนที่จะประ มูล เพื่อให้ได้สัมปทานมาจะยอมหมดทุกอย่าง ผมจะยกตัวอย่างที่คลาสสิคอีกเรื่องหนึ่งที่ผมชอบพูดประจำก็คือกรณีของ ubc ตอนที่ได้สัมปทานเพื่อทำเคเบิ้ลทีวีนั้น เงื่อนไขรัฐมีอะไรยอมหมดทุกอย่าง ยอม แม้กระทั่งทุกอย่าง รัฐบาลบอกห้ามไม่ให้มีโฆษณา ตอนนี้กลับมาต่อสู้บอกว่าประชาชนต้องการให้มีโฆษณา นี่คือความหน้าด้านของพ่อค้าครับท่านผู้ฟัง แล้วรัฐบาลที่สำคัญที่สุดก็คือ ไม่ยอมรักษากติกา เพราะถ้ารักษากติกา ก็บอกว่าเอาละยอมลดสิทธิ์ ผมไม่ว่าถ้าอย่างนั้น คุณลดราคาขาย หรือว่าถ้า ubc ต้องการที่จะมีโฆษณา คุณห้ามคิดค่าเคเบิ้ล tv เกินกว่าเดือนละ 200 บาท 

รัฐบาลจะไม่ค่อยปกป้องผลประโยชน์ของสังคม ผลประโยชน์ของประชาชน คือตัวท่าน ตัวผม แต่รัฐบาลจะมัวไปปกป้องผลประโยชน์ ของพ่อค้า เหตุผลก็เพราะว่าเจ้าหน้าที่รัฐนั้น ได้รับผล ประโยชน์ และกินเงินเดือนพ่อค้าอยู่ตลอดเวลาครับท่านผู้ฟัง 

ท่านผู้ฟังครับ เมื่อบริษัทสุราทิพย์ได้ประมูล สัมปทานเหล้าแม่โขงไปในราคา 4567 คือ 45.67% สูงกว่ากลุ่มเตชะไพบูลย์ซึ่งให้แค่ 30% ก็เลยได้ไป แต่ ปรากฏว่าคนที่เดือดร้อนที่สุดท่านผู้ฟังทราบไหมครับ คือใคร ก็คือบรรดานายธนาคาร ซึ่งเป็นนายทุนของกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี น่ะครับ โดยกลุ่มนายทุนมีใครบ้างล่ะครับท่านผู้ฟัง ธนาคารไทยพาณิชย์ที่มีนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ เป็นผู็จัดการใหญ่ ธนาคารกสิกรไทยในยุคนั้นมี ม.ร.ว. ปรีดียาธร เทวกุลเป็นตัวแทน และอีกหลายธนาคาร เมื่อตอนที่เคาะ ตัวเลขก็บอกว่า อุ๊ยตายแล้ว 4567 ก็เจ๊งน่ะซิ ทำยังไงก็เจ๊ง เจ๊งแน่ๆเลยสู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นแล้วจะต้องหาวิธีแก้ไข แล้วมันก็เป็นธรรมเนียม ครับท่านผู้ฟังครับ ของพวกประมูลเหล้าจะต้องประมูลสูงไว้ก่อน แล้วค่อยมาแก้สัญญาทีหลัง โดยที่มีวิธีการมาเจรจากับรัฐบาล วิธีการที่เขาทำกัน เขาขอเหมาภาษีครั้ง ขอเหมาภาษี โดยที่เขาอ้างว่า 4567 เขาทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นขอเหมาภาษีก็แล้วกันว่า เหมากันเท่าไหร่ แล้วก็ปล่อยให้ราคานั้นเสรี โดย 45.67% ของราคาครับท่านผู้ฟัง ของราคาขายครับ ก็คือว่า ถ้าสมมุติว่า คุณตั้งราคาขาย 100 บาท คุณก็ต้องจ่าย 45.67 บาท เขาบอกว่าเขาสู้ไม่ได้ครับเรื่องนี้ เพราะฉะนั้นแล้วเขา บอกว่าถ้ารัฐบาลต้องการราคาเหมาเท่าไหร่ก็เหมาไปเลยรวมตัวเลขตัวหนึ่งส่วนราคานั้นขอให้เขาเป็นคนตั้งโดยเสรีก็แล้วกัน 

สรุปแล้วท่านผู้ฟังเข้าใจหรือยังครับ คือเขามากระทืบตัวท่านผู้ฟังในฐานะผู้บริโภค เมื่อเขาผูกขาดสินค้าชิ้นหนึ่งได้แล้ว เขาก็มาตั้งราคาตามความพอใจ ท่านผู้ฟังถ้าท่านเป็นคนขี้เมาย๋ำเป ไม่รักษาตัวเอง ชอบกินเหล้าเมายา แล้วชอบมอมเมาตัวเองท่านผู้ฟังก็เป็นเหยื่อของคนพวกนี้ครับ 
เพราะฉะนั้นแล้วนี่คือที่มาครับท่านผู้ฟังของเหล้าขาวว่าทำไมต้นทุนแค่ 16 บาท แต่ขาย 60 บาท ท่่านผู้ฟัง 

ท่านผู้ฟังเริ่มเข้าใจหรือยังล่ะครับ ว่าความร้ายกาจของเรื่องนี้มันอยู่ตรงไหน ปรากฏว่าเมื่อเสนอ ความคิดอันนี้ขึ้นมาแล้ว คนที่ประมูลแพ้ก็คือกลุ่มเตชะไพบูลย์ ก็ร้องซิครับท่านผู้ฟัง ก็แหกปากร้องลั่นเลยว่ารัฐบาลไม่แฟร์ ทำไมถึงทำอย่างนั้นเมื่อเกิดการ ร้องขึ้นมามันก็วุ่นวายซิครับท่านผู้ฟัง ทำไมมันไม่วุ่นวายล่ะครับ ก็เพราะว่ากรมสรรพสามิต และกระทรวงการคลังเวลารับเงินพ่อค้าเหล้าจะกล้ารับ หน้าด้านรับ แต่ถ้ามีคนร้องขึ้นมาแล้วจะอับอายขายหน้า จะเอียงอายจะเขินไปหมดจะออกปากคอสั่นไปหมด แก้ตัวเป็นพัลวันว่าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น 

เรากำลังพิจารณาอยู่ ในที่สุดแล้ว คนที่เดือดร้อนที่สุดจะต้องเป็นคน ที่เข้ามาช่วย ก็คือใครครับท่านผู้ฟัง คือเจ้าของเงินก็คือพวกที่เป็นนายธนาคารทั้งหลาย ก็ร้อนขึ้นมา ธนาคารต้องจับ 2 ฝ่าย คือกลุ่มสุรามหาราษฎร์ และกลุ่มสุราทิพย์ มาเจรจาความกันว่า เฮ้ย เรื่องนี้ยุติกันได้ไหม ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมันเจ๊งด้วยกันทั้งคู่ แล้วจะกลายเป็นตอนนั้นน่ะครับท่านผู้ฟัง บริษัทสุรา มหาราษฎร์ เนื่องจากว่าพอรู้ว่าตัวเองนั้นถูกสุราทิพย์ ประมูลเหล้าแม่โขงได้ตัวเองก็เริ่มผลิตเหล้าแม่โขงที่ฐานภาษีต่ำ ต่ำกว่า 30% ที่ตัวเองเสนอเสีย ด้วยซ้ำ น่ะครับ ผลิตออกมาทำให้สต๊อกมีพอขายไป 1 ปี สบายๆ ก็หมายความว่า ถ้ากลุ่มนายเจริญ ยังใช้ฐานภาษี 4567 45.67% แล้ว ก็จะต้องมาเผชิญเหล้าแม่โขงราคาถูก ที่กลุ่มบริษัทสุารามหาราษฎร์ แอบผลิตเอาไว้ในสต๊อก 1 ปี ก็หมายความว่า กลุ่มนายเจริญนั้นต้องเจ๊งแน่ๆ ไม่มีทางเลือก 

นี่คือที่มาของการเจรจากัน โดยที่นายธนาคารเจ้าของเงินเป็นผู้ที่เข้ามาเพื่อให้ทุกคนหยุดทะเลาะกัน ในที่สุด ก็เลย มีการรวมทุนบริษัท สุรามหาราษฎร์ ยุคใหม่ กลุ่มเป็นหุ้นส่วนระหว่างกลุ่มนายเจริญ ศรีสมบูรณานนท์ แล้วก็กลุ่มเตชะไพบูลย์ โดยที่นายสุเมธ เตชะไพบูลย์ เป็นผู้ที่ถอนตัวออกไป แต่โดยสรุปแล้วฝ่ายของนายเจริญนั้นมีหุ้นมากกว่า แล้วนายเจริญก็เป็นคนบริหาร 

บริษัทสุรามหาราษฎร์ ก็เลยมาเจรจารัฐบาลในเรื่องภาษี ก็คือขอให้มีการเหมากันไปเลย โดยราคาให้เสรี น่ะครับ คือพูดง่ายๆว่า เอาบริษัทสุราทิพย์ ซึ่งได้สัมปทานเหล้า 12 โรง ของกระทรวงการคลัง มารวม กับสุรามหาราษฎร์เป็นแพ๊กเก็จเดียวกัน แล้วไปเจรจากับรัฐบาลว่า ที่เป็นแพ๊กเก็จเดียวกันได้เพราะตัวเองนั้นผูกขาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว ตัวเองนั้น ผูกขาดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว 
ท่านผู้ฟังครับที่เป็นแพ๊กเก็จเดียวกันนั้น ก็เพราะว่านายเจริญ กลุ่มนายเจริญนั้น เป็นผู้ได้สิทธิในการดำเนินการสุรา 12 เขต ของ กระ ทรวงการคลังทั่วประเทศไทย ที่ผลิตเหล้าขาวและเหล้าสี ในขณะเดียวกันการที่เข้ามารวมกับกลุ่มเตชะไพบูลย์ในบริษัท สุรามหาราษฎร์ โดยที่ตัวเองถือหุ้นมากกว่า ก็เท่ากับตัวเองนั้นเป็นผู้ที่ได้สิทธิสุราปรุงพิเศษ คือ แม่โขงและกวางทอง ที่ขายได้ทั่วประเทศ สรุปง่ายๆครับท่านผู้ฟังครับ อุตสาหกรรม ตั้งแต่สุราปรุงพิเศษ แม่โขง กวางทอง ที่มีสิทธิขายได้ทั่วประเทศไทย ลงไปจนถึงสุราเชียงชุน เหล้าขาวที่ขายพ่อแม่พี่น้องประชาชน ชาวไร่ชาวนาที่ยากจนนั้น อยู่ในมือของกลุ่มนายเจริญเพียงคนเดียว 
เพราะ ฉะนั้นนายเจริญก็สามารถที่จะเอาสองสิ่งนี้ มารวมกันแล้วสก็มาเจรจาต่อรองกับรัฐบาลว่าให้เหมาจ่ายไปเลย ว่าคิดเป็นกี่ % แต่รับประกันขั้นต่ำว่ารัฐบาลต้องการเท่าไหร่เขาจะจ่าย และจ่ายล่วงหน้าด้วย ส่วน เขาจะขายเท่าไหร่ เขาไม่แคร์ ก็ปล่อยเขาไปเลย คุมที่เดียวคือเฉพาะอัตราภาษี คิดอัตราภาษีคือให้คิดจากอัตราขายส่งช่วงสุดท้าย คุมเฉพาะอัตราภาษี ไม่ได้ได้คุมราคาขายปลีกน่ะครับท่านผู้ฟัง 
ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังฟังแล้วรู้สึกยังไงครับ ท่านผู้ฟังครับ นี่คือคน ที่เลวที่สุดในประเทศไทย คนที่ใจบุญสุนทาน คนที่เที่ยวแจกเงินทำบุญทำกุศล คนที่มีบริษัทที่มีองคมนตรี ประธานองคมนตรี ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเป็นกรรมการบริษัท คนที่เดินไปไหนมาไหนทุกคนโค้ง ทุกคนเคารพ ทุกคนคำนับ 
ท่านผู้ฟังครับ การ ที่กลุ่มนายเจริญทำเช่นนี้ได้ ท่านผู้ฟังทราบไหมครับ เขาทำได้อย่างไร ที่เขาทำได้เช่นนี้เพราะว่ามีขบวนการข้าราชการประจำโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการที่มาสายกรมสรรพสามิต และอดีตข้าราชการ กระ ทรวงการคลังบางคน ดำเนินการวางแผนให้อย่าง แยบยล เป็นขบวนการเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อแลกเปลี่ยนกับเศษเนื้อเศษกระดูกที่ถูกโยนเอามาให้ โกงชาติโกงแผ่นดิน ช่วยพ่อค้าโกงชาติโกงแผ่นดิน โกงภาษีอากรของประชาชน โกงภาษีอากรของรัฐ ของประเทศชาติ รังแกประชาชนในการตั้งราคาขายให้แพง เป็นสินค้าที่มอมเมา และทำลายสุขภาพของประชาชน ท่านผู้ฟังครับ 
ท่านผู้ฟังครับ ถึงตอนนี้แล้วก็ปรากฏว่า นายเจริญนั้น เขาก็เป็นผู้ที่ผูกขาดการค้าสุราทุกประเภท ในประเทศ ไทย เรียกได้ง่ายๆว่า 99% ของการทำสุรานั้นอยู่ในมือของกลุ่มนายเจริญ ผูกขาดทั้งสิทธิในการทำสัมป ทานที่ได้ ตลอดจนผูกขาดทั้งกระบวนการจัดส่งสุรา ไม่ว่าจะเป็นเอเยนต์ หรือขบวนการจัด จำหน่ายทั่วประเทศไทย เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็เริ่มมีกระบวนการสร้างเงื่อนไข เพื่อให้เกิดการเปิดเสรีขึ้นมา เพื่อการผูกขาดโดยเฉพาะภายใต้หน้ากากของการเปิดเสรี 

ท่านผู้ฟังครับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ซึ่งนายเจริญเคยมีบุญคุณอยู่ในเรื่องของการให้บริษัท ตลาดน้อยคอมเพลกซ์ นั้นมาซื้อที่ดินของตระกูลโสณกุล แล้วก็ให้บริษัทตลาดน้อยคอมเพลกซ์นั้น ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วอาวัลโดยธนาคารมหานคร เอาไปขายลดที่ธนาคารกรุงไทยนั้น ได้พูดว่าวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมดของสุรา คือการเปิดเสรี 

ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล พูดน่ะครับ ใครใคร่ผลิตผลิต ใครใคร่ค้าค้า เสียภาษีไปเท่านั้นเท่านี้เป็นหน้าที่ของรัฐ 

พูดแบบนี้พูดอีกก็ถูกอีกท่านผู้ฟัง 

ใครฟังแบบนี้ก็ต้องชอบเพราะดู เหมือนเป็นนโยบายที่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าทุกคนมีโอกาสที่สามารถจะแข่งขันได้ 

แต่ท่านผู้ฟังครับ สิ่งที่ ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล พูดนั้นไม่ทราบว่าพูดโดยมีเจตนาแอบแฝง พูดโดยเจตนาบริสุทธิ์ หรือว่าพูดโดยที่โง่ ไม่รู้ หรือว่า พูดเพื่อที่จะทำเป็นบันไดขั้นตอนเพื่อให้มีการผูกขาด ว่าสิ่งที่นายเจริญได้ทำขึ้นมานั้น เขาได้ทำให้สนามการแข่งขันสุราให้มันไม่เสรีครับ ให้มันมีขวากหนามต่างๆให้มีขีดขั้นข้อจำกัด จนกระทั่งในที่สุดแล้ว เมื่อมีการเปิดเสรี แท้ที่จริงคือการปิดตลาดนั่นเอง ซึ่งเป็น การกระทำที่รัฐจะไม่มีรายได้ไม่มีการผลิตสุราที่เหมาะ สม หรือในคุณภาพที่ดี หรือจะสามารถเก็บภาษีจากสุรานี้ได้น่ะครับ 

ท่านผู้ฟังครับ หลักใหญ่ที่สุดในนโยบาย การเก็บภาษีของธุรกิจใดๆ ไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือในทั่วโลกนั้น มันมีอยู่ง่ายๆ ครับ 

ก็คือว่า ข้อที่ (1) รัฐต้องเปิดโอกาสให้ทุกคน สามารถที่จะเข้ามาทำธุรกรรมในธุรกิจอันนั้นได้ เปิดโอกาสเลยครับทุกคนเลยครับ เข้ามาทำได้ (2) มีการ แข่งขันโดยเสรีจริงๆ (3) ที่สำคัญน่ะครับก็คือไม่มีการ ผูกขาดตัดตอน (4) ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิต รายหนึ่งรายใดให้มีสิทธิเหนือคนอื่น (5) สำคัญมากครับท่านผู้ฟังต้องดูแลผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่เป็นธรรม ให้ทุกคนมีต้นทุนทางการตลาดที่ยุติธรรม และ ทุกคนแข่งขันกันได้อย่างเสรี และให้ผู้บริโภคได้ของที่มีคุณภาพในราคาถูก 
ท่านผู้ฟังครับ นี่คือหลักการที่ควรจะเป็น และนี่ก็เป็นหลักการที่ผมเชื่อ และผมเชื่อว่าท่านผู้ฟังทุกท่านที่ฟังแล้ว ท่านผู้ฟังที่มีจิตใจเป็นธรรม ข้าราชการที่มีจิตที่ไม่สกปรก และมีจิตสำนึกในความเป็นข้าราชการ ตลอดจนพ่อค้าทุกท่านก็ต้องเห็นด้วยกับ 5 ข้อนี้ครับท่านผู้ฟัง 

ที่ผมต่อสู้มาตลอดชีวิตของผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ปรส. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรต่ออะไร ก็เป็นเรื่องราวที่ยืนอยู่บนหลักการต่างๆเหล่านี้ทั้งสิ้นครับท่านผู้ฟัง 

กระผมไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัวกับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ไม่ได้อิจฉาริษยาความร่ำรวยของเขา และไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับนายธนินท์ เจียรวรานนท์ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเคเบิ้ลทีวี หรือ ubc และก็ไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่ ผมจะต้องมีเรื่องมีราวกับคนต่างๆเหล่านี้ ตราบใดที่คนต่างๆเหล่านี้รังแกผู้บริโภค โกงภาษีรัฐ เอารัดเอาเปรียบสังคม และก็สร้างภาพให้คนเห็นว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ใจบุญสุนทาน ทั้งๆที่เงินที่ตัวเองเอามาทำบุญหรือสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองนั้น เป็นเงินซึ่งโกงจากชาติโกงจากบ้านเมืองครับท่านผู้ฟังครับ 
ท่านผู้ฟังครับ ขบวนการเปิดสุรา ที่แท้จริงน่ะครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังฟังให้ดีๆน่ะครับ ขบวนการเปิดสุราเสรีที่แท้จริงนั้นคือ การยกเว้นภาษีให้กับคนๆเดียวทั้งสิ้นครับ ท่านผู้ฟัง ยกเว้นภาษีให้กับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ทั้งสิ้น เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญครับท่านผู้ฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะมีการวางแผนที่แยบยล วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ใช้ดร. ผู้รู้ ใช้ปลัดกระทรวง ใช้อดีตปลัดกระ ทรวง ใช้นักวิชาการ ใช้นักการเมือง ใช้หนังสือพิมพ์ ใช้สื่อมวลชนทั้งหลายมาสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นว่าขณะนี้ ประเทศไทยก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตร มีการเปิดเสรีสุราเรียบร้อยแล้ว 

ท่านผู้ฟังครับ เสรีได้ยังไงครับในเมื่อกลุ่มๆ หนึ่งคือกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ยึดฐานการผลิตคือ โรงงานสุรา 12 โรงของทางราชการทั้งหมดมาเป็นของส่วนตัวแล้ว 

ยึดโรงงานปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตสุรา แม่โขง กวางทองภายใต้สัมปทานในกลุ่มซึ่งบริษัท นายเจริญ ยึดไปแทนบริษัทสุรามหาราษฎร์ แล้ว 

ในกรณีโครงสร้างการตลาดของสุราเองก็ผูกขาด เพราะการผลิตทั้งหมด ในที่สุดแล้วต้องขายให้กับนายเจริญแต่เพียงผู้เดียว เพื่อรับประกันรายได้ คำถามก็มีต่อไปว่าเมื่อฐานการผลิตทั้งหมดอยู่ในมือคนคนเดียวแล้ว จะมาเปิดเสรีทำไม จะมีใครเข้ามาผลิตแข่งกับเขา 

อีกประการหนึ่งท่านผู้ฟังครับ ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต มีหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือรับเงินเจ้าของอุตสาหกรรมสุราที่ผูกขาดให้ปราบปรามเหล้าเถื่อนทั้งหมด เหล้าเถื่อนนี่คือประชาชนผลิตไม่ได้เลยครับท่านผู้ฟัง คือภูมิปัญญาชาวบ้านไม่มีทางที่จะกระโดดขึ้นมาทำอะไรได้เลย 

ท่านผู้ฟังครับ เพราะว่าเป็นเหล้าที่ผิดกฏหมายทั้งสิ้น ซึ่งการปราบปรามเช่นนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษด์ ที่ให้การผูกขาดสุราให้กับบริษัทที่ผลิตสุราแม่โขงตอนนั้น ก็คือบริษัทสุรามหาราษฎร์ ตอนนั้น 

“เจริญ สิริวัฒนภักดี” คนคนหนึ่งที่ไต่เต้าจากคนขายของโชห่วย กลายมาเป็น “ท่านเจ้าคุณ”ของใครหลายคน ด้วยอำนาจบารมีและเม็ดเงินที่เกื้อกูลทั้งข้าราชการ นักการเมือง วันนี้เขายังผูกขาดธุรกิจสุราของประเทศทั้งๆที่รัฐบาลเปิดเสรีแล้ว ประหยัดเงินแค่ภาษีที่ต้องจ่ายให้รัฐได้กว่า 54,000 ล้านบาท เบื้องหลัง ความยิ่งใหญ่ของเจ้าพ่อน้ำเมายังมีอะไรที่คนส่วนใหญ่ในสังคมคาดไม่ถึง 

“พายัพ วนาสุวรรณ” คอลัมน์นิสต์ที่ถูกกล่าวขวัญมากที่สุดของหนังสิือพิมพ์ผู้จัดการ นำเรื่องของเจ้าพ่อน้ำเมา “เจริญ สิริวัฒนภักดี” มาตีแผ่จนถึงราก ใน “คารวะแผ่นดิน”ทางสถานีไอเอ็นเอ็นนิวส์ เรดิโอ 99.5 เมกะเฮิร์ตซ เมื่อคืนวันจันทร์ที่16 ตุลาคมและต่อเนื่องถึงวันจันทร์ที่ 23 ที่ผ่านมา 

จากผลงาน “ชนช้าง”ครั้งนี้ของ“พายัพ วนาสุวรรณ”ก่อให้เกิดผลสะเทือนเลื่อนลั่นวงการราชการ ผู้ที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมเหล้าเป็นอย่างมาก พร้อมกันกับคำสั่งเซ็นเซอร์ของกองบัญชาการทหารสูงสุดเจ้าของสถานีวิทยุคลื่น99.5 เมกะเฮีิรต์ซ และ เหตุการณ์ชายฉกรรจ์จำนวนหนึ่งบุกทำลายทรัพย์สินและทำร้ายร่างกายพนักงานของสำนักงานหนัง สือพิมพ์ผู้จัดการ เมื่อเช้าตรู่วันที่ 16 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา 

เหตุการณ์หลังสุดนี้ทำให้กองบรรณาธิการ“ผู้จัดการ”ได้รับความแสดงห่วงใยจากผู้อ่านและผู้ฟังรายการ“คารวะแผ่นดิน”เข้ามาเป็นจำนวนมาก และ มีเสียงเรียกร้องอยากจะอ่าน“พายัพชนช้าง”อีกครั้งหนึ่ง กองบรรณาธิการผู้จัดการจึงขอนำมาเสนอเพื่อตอบสนองด้วยคารวะท่านผู้อ่านและท่านผู้ฟัง 

ในสี่ตอนที่ผ่านมา พายัพ วนาสุวรรณได้พูดถึงวิชามารของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ใช้ออกอย่างครบวงจร แต่เป็นบุคคลที่มีความสามารถพิเศษที่ไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ให้สืบเสาะ เปรียบเหมือน “จอมยุทธผู้เหยียบหิมะไร้รอย” พร้อมทั้งเล่าตำนานเหล้าที่ซับซ้อน ซ่อนเงื่อนมาตั้งแต่ครั้งอดีตจนถึงปัจจุบัน จุดเริ่มต้นของเจ้าพ่อน้ำเมาที่ฉายแววความเป็นอัจริยะในการโกงรัฐ และ เลห์ทางการค้าที่ใช้ต่อกรกับคู่แข่งขันที่เข้มแข็งอย่างกลุ่มสุรามหาราฏร์ ด้วยการติดปีกให้“หงส์ทอง”สามารถผยองเดชบินข้ามเขตไล่ตีแม่โขง กวางทอง จนกระเจิง ต่อมาในตอนที่ 4 พายัพ ได้พูดถึงคนที่ถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเจริญและคนที่คอนรับใช้และสร้างความมั่งคั่งให้เขา และ จากนี้ต่อไปจะเป็นตอนที่5 ของ“พายัพชนช้าง” 

ท่านผู้ฟังครับ ถึงตอนนี้แล้วก็ปรากฏว่า นายเจริญนั้น 
เขาก็เป็นผู้ที่ผูกขาดการค้าสุราทุกประเภท ในประเทศ ไทย เรียกได้ง่ายๆว่า 99% ของการทำสุรานั้นอยู่ในมือของกลุ่มนายเจริญ ผูกขาดทั้งสิทธิในการทำสัมป ทานที่ได้ ตลอดจนผูกขาดทั้งกระบวนการจัดส่งสุรา ไม่ว่าจะเป็นเอเยนต์ หรือขบวนการจัด จำหน่ายทั่วประเทศไทย เมื่อมาถึงตรงนี้แล้วก็เริ่มมีกระบวนการสร้างเงื่อนไข เพื่อให้เกิดการเปิดเสรีขึ้นมา เพื่อการผูกขาดโดยเฉพาะภายใต้หน้ากากของการเปิดเสรี 

ท่านผู้ฟังครับ ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล ผู้ซึ่งนายเจริญเคยมีบุญคุณอยู่ในเรื่องของการให้บริษัท ตลาดน้อยคอมเพลกซ์ นั้นมาซื้อที่ดินของตระกูลโสณกุล แล้วก็ให้บริษัทตลาดน้อยคอมเพลกซ์นั้น ออกตั๋วสัญญาใช้เงินแล้วอาวัลโดยธนาคารมหานคร เอาไปขายลดที่ธนาคารกรุงไทยนั้น ได้พูดว่าวิธีการแก้ปัญหาทั้งหมดของสุรา คือการเปิดเสรี 

ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล พูดน่ะครับ ใครใคร่ผลิตผลิต ใครใคร่ค้าค้า เสียภาษีไปเท่านั้นเท่านี้เป็นหน้าที่ของรัฐ 

พูดแบบนี้พูดอีกก็ถูกอีกท่านผู้ฟัง 

ใครฟังแบบนี้ก็ต้องชอบเพราะดู เหมือนเป็นนโยบายที่ถูกต้อง ดูเหมือนว่าทุกคนมีโอกาสที่สามารถจะแข่งขันได้ 

แต่ท่านผู้ฟังครับ สิ่งที่ ม.ร.ว. จัตุมงคล โสณกุล พูดนั้นไม่ทราบว่าพูดโดยมีเจตนาแอบแฝง พูดโดยเจตนาบริสุทธิ์ หรือว่าพูดโดยที่โง่ ไม่รู้ หรือว่า พูดเพื่อที่จะทำเป็นบันไดขั้นตอนเพื่อให้มีการผูกขาด 

ว่าสิ่งที่นายเจริญได้ทำขึ้นมานั้น เขาได้ทำให้สนามการแข่งขันสุราให้มันไม่เสรีครับ ให้มันมีขวากหนามต่างๆให้มีขีดขั้นข้อจำกัด จนกระทั่งในที่สุดแล้ว เมื่อมีการเปิดเสรี แท้ที่จริงคือการปิดตลาดนั่นเอง ซึ่งเป็น การกระทำที่รัฐจะไม่มีรายได้ไม่มีการผลิตสุราที่เหมาะ สม หรือในคุณภาพที่ดี หรือจะสามารถเก็บภาษีจากสุรานี้ได้น่ะครับ 

ท่านผู้ฟังครับ หลักใหญ่ที่สุดในนโยบาย การเก็บภาษีของธุรกิจใดๆ ไม่ว่าจะเป็นของประเทศไทย หรือในทั่วโลกนั้น มันมีอยู่ง่ายๆ ครับ 

ก็คือว่า ข้อที่ (1) รัฐต้องเปิดโอกาสให้ทุกคน สามารถที่จะ 

เข้ามาทำธุรกรรมในธุรกิจอันนั้นได้ เปิดโอกาสเลยครับทุกคนเลยครับ เข้ามาทำได้ (2) มีการ แข่งขันโดยเสรีจริงๆ (3) ที่สำคัญน่ะครับก็คือไม่มีการ ผูกขาดตัดตอน (4) ไม่มีการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ผลิต รายหนึ่งรายใดให้มีสิทธิเหนือคนอื่น (5) สำคัญมากครับท่านผู้ฟังต้องดูแลผู้บริโภคให้ได้รับสินค้าที่เป็นธรรม ให้ทุกคนมีต้นทุนทางการตลาดที่ยุติธรรม และ ทุกคนแข่งขันกันได้อย่างเสรี และให้ผู้บริโภคได้ของที่มีคุณภาพในราคาถูก 

ท่านผู้ฟังครับ นี่คือหลักการที่ควรจะเป็น และนี่ก็เป็นหลักการที่ผมเชื่อ และผมเชื่อว่าท่านผู้ฟังทุกท่านที่ฟังแล้ว ท่านผู้ฟังที่มีจิตใจเป็นธรรม ข้าราชการที่มีจิตที่ไม่สกปรก และมีจิตสำนึกในความเป็นข้าราชการ ตลอดจนพ่อค้าทุกท่านก็ต้องเห็นด้วยกับ 5 ข้อนี้ครับท่านผู้ฟัง 

ที่ผมต่อสู้มาตลอดชีวิตของผม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ปรส. ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนายธารินทร์ นิมมานเหมินทร์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรต่ออะไร ก็เป็นเรื่องราวที่ยืนอยู่บนหลักการต่างๆเหล่านี้ทั้งสิ้นครับท่านผู้ฟัง 

กระผมไม่ได้มีอะไรเป็นการส่วนตัวกับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ไม่ได้อิจฉาริษยาความร่ำรวยของเขา และไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับนายธนินท์ เจียรวรานนท์ ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทเคเบิ้ลทีวี หรือ ubc และก็ไม่ได้มีอะไรเป็นส่วนตัวกับผู้ใดทั้งสิ้น แต่ ผมจะต้องมีเรื่องมีราวกับคนต่างๆเหล่านี้ ตราบใดที่คนต่างๆเหล่านี้รังแกผู้บริโภค โกงภาษีรัฐ เอารัดเอาเปรียบสังคม และก็สร้างภาพให้คนเห็นว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่ใจบุญสุนทาน ทั้งๆที่เงินที่ตัวเองเอามาทำบุญหรือสร้างความร่ำรวยให้กับตัวเองนั้น เป็นเงินซึ่งโกงจากชาติโกงจากบ้านเมืองครับท่านผู้ฟังครับ 

ท่านผู้ฟังครับ ขบวนการเปิดสุรา ที่แท้จริงน่ะครับท่านผู้ฟัง ท่านผู้ฟังฟังให้ดีๆน่ะครับ ขบวนการเปิดสุราเสรีที่แท้จริงนั้นคือ การยกเว้นภาษีให้กับคนๆเดียวทั้งสิ้นครับ ท่านผู้ฟัง ยกเว้นภาษีให้กับนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ทั้งสิ้น เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญครับท่านผู้ฟัง เรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะมีการวางแผนที่แยบยล วางแผนเป็นขั้นเป็นตอน ใช้ดร. ผู้รู้ ใช้ปลัดกระทรวง ใช้อดีตปลัดกระ ทรวง ใช้นักวิชาการ ใช้นักการเมือง ใช้หนังสือพิมพ์ ใช้สื่อมวลชนทั้งหลายมาสร้างสถานการณ์ให้เกิดขึ้นว่าขณะนี้ ประเทศไทยก้าวสู่ยุคโลกาภิวัตร มีการเปิดเสรีสุราเรียบร้อยแล้ว 

ท่านผู้ฟังครับ เสรีได้ยังไงครับในเมื่อกลุ่มๆ หนึ่งคือกลุ่มนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ยึดฐานการผลิตคือ โรงงานสุรา 12 โรงของทางราชการทั้งหมดมาเป็นของส่วนตัวแล้ว 
ยึดโรงงานปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงงานที่ผลิตสุรา แม่โขง กวางทองภายใต้สัมปทานในกลุ่มซึ่งบริษัท นายเจริญ ยึดไปแทนบริษัทสุรามหาราษฎร์ แล้ว 

ในกรณีโครงสร้างการตลาดของสุราเองก็ผูกขาด เพราะการผลิตทั้งหมด ในที่สุดแล้วต้องขายให้กับนายเจริญแต่เพียงผู้เดียว เพื่อรับประกันรายได้ คำถามก็มีต่อไปว่าเมื่อฐานการผลิตทั้งหมดอยู่ในมือคนคนเดียวแล้ว จะมาเปิดเสรีทำไม จะมีใครเข้ามาผลิตแข่งกับเขา 

อีกประการหนึ่งท่านผู้ฟังครับ ทุกวันนี้ เจ้าหน้าที่กรมสรรพสามิต มีหน้าที่อยู่อย่างเดียว คือรับเงินเจ้าของอุตสาหกรรมสุราที่ผูกขาดให้ปราบปรามเหล้าเถื่อนทั้งหมด เหล้าเถื่อนนี่คือประชาชนผลิตไม่ได้เลยครับท่านผู้ฟัง คือภูมิปัญญาชาวบ้านไม่มีทางที่จะกระโดดขึ้นมาทำอะไรได้เลย 

ท่านผู้ฟังครับ เพราะว่าเป็นเหล้าที่ผิดกฏหมายทั้งสิ้น ซึ่งการปราบปรามเช่นนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่สมัยจอมพลสฤษด์ ที่ให้การผูกขาดสุราให้กับบริษัทที่ผลิตสุราแม่โขงตอนนั้น ก็คือบริษัทสุรามหาราษฎร์ ตอนนั้น 

ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่าเงื่อนไขที่รัฐและบรรดาข้าราชการทั้งหลายที่รับสินบาทคาดสินบนของกลุ่มนายเจริญ ทำขึ้นมานั้น ทำเพื่อที่จะให้กลุ่มนายเจริญนั้นสามารถผูกขาดธุรกิจสุราได้ต่อไป ภายใต้ภาพที่สร้างขึ้นมาว่าเป็นการเปิดเสรี 

เขาทำยังไงรู้ไหมครับท่านผู้ฟัง 

เขาตั้งเงื่อนไขว่าสุราในขณะนี้ ถ้าจะออกใหม่ ทำใหม่ เปิดใหม่ ต้องเสียภาษีร้อยละร้อย คือ 1 ลิตร ให้เสียภาษี 100 บาท ในขณะซึ่งของเดิมนั้นให้เสียภาษี 30 บาท 40 บาท 50 บาท 60 บาท เป็นต้นไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสุรา 

เรามาพิจารณาในเรื่องอัตราภาษีก่อน ด้านนี้เป็นด้านเรื่องภาษีครับ 
ในขณะเดียวกันข้าราชการต่างๆเหล่านี้ และ นักการเมืองพากันร่างระเบียบงานบริหารงานสุรา ซึ่ง ขณะนี้ยังไม่ได้ออก 

แต่ท่านผู้ฟังทราบไหมครับว่าเขาเขียนระเบียบไว้ว่ายังไง 

เขาเขียนในระเบียบว่า ถ้าใครก็ตามที่จะผลิต สุราจะต้องมีโรงงานผลิตสุราที่ห่างจากที่ดินที่ห่างจาก แม่น้ำ 20 กิโลเมตร มีที่ดิน 350 ไร่ ผลิตได้หมื่นลิตร ต่อปี นี่เป็นเงื่อนไขนั้นต่ำครับท่านผู้ฟัง เพราะฉะนั้นคนที่เข้ามาผลิตสุราจะต้องเสียภาษีที่สูงกว่าเดิม มีฐานการลงทุนที่มหาศาลกว่าที่กลุ่มนายเจริญทำเอาไว้ เพราะ 12 โรงที่กลุ่มนายเจริญยึดเอาไปนั้น ซื้อไปแค่ 9 พันล้านบาทครับท่านผู้ฟัง โรงละ 7 ร้อยกว่า ล้านบาท 8 ร้อยกว่าล้านบาทเอง 

ท่านผู้ฟัง ถ้าคนเข้ามาใหม่แค่โรงเดียว ลงทุน ตามเงื่อนไขที่กำลังร่างขึ้นเพื่อกีดกันคนเข้าใหม่ ก็จะเห็นว่าลงทุนแค่โรงเดียวก็จะเห็นว่ามากกว่าที่นายเจริญ จ่ายไป 9 พันกว่าล้านบาทที่ซื้อโรงงานสุราไป 12 โรงเรียบร้อยแล้ว แล้วใครจะเข้ามาแข่งล่ะครับท่านผู้ฟัง ใครจะเข้ามาแข่งครับ นี่แหละครับคือการผูกขาดภายใต้เงื่อนไขเสรีที่เห็นได้ชัดที่สุดครับท่านผู้ฟัง 

แล้วใครมันช่างคิดเหลือ เกินครับท่านผู้ฟังว่าไอ้ระเบียบนี้มันออกมาจากใคร 

ระเบียบนี้มันออกมาจากข้าราชการกรมสรรพสามิต เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง และระเบียบ นี้วางอยู่บนโต๊ะนายพิสิฐ ลี้อาธรรม แล้วแนวโน้มที่จะได้รับการอนุมัติจากนายพิสิฐก็สูงมากครับท่านผู้ฟัง 

ท่านผู้ฟังครับว้าเหว่ไหมครับ หดหู่ไหมครับกับสังคมไทยทุกวันนี้ 

ถ้าท่านผู้ฟังเป็นผู้ติดตามข่าว ท่านผู้ฟังต้องจำได้ครับ ต้องจำได้ว่าเมื่อปีสองปีที่ผ่านมานี้ พวกเราพูดกันตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาล พูดกัน ตลอดเวลาว่าถึงเวลาแล้วที่จะต้องเปิดเสรี ต้องเปิดสุราเสรี ท่านผู้ฟังจำได้ไหมครับ พอพวกเราฟังเช่นนี้ พวกเราก็นึกด้วยจิตบริสุทธิของพวกเราก็บอกว่า เอ่อ ก็ดีเหมือนกัน ใครใคร่ค้าค้า ใครใคร่แข่งแข่ง แต่ว่ากระบวนการที่จะเดินทางไปสู่การเปิดเสรีนั้น อย่างที่ผมเรียนให้ทราบ ได้ถูกบรรดาข้าราชการที่กินสินบาทคาดสินบน ทั้งหมดสร้างเงื่อนไขต่างๆ ให้การเปิดเสรีนั้นกลายเป็นการผูกขาดไป โดยที่สังคมไทยนั้น ถ้าไม่ได้ศึกษาแล้วก็จะไม่รู้ว่าข้อเท็จจริงเป็นยังไง ขบวนการสร้างการผูกขาด ภายใต้เงื่อนไขการเปิดเสรีนั้นทำได้ 3 วิธีครับท่านผู้ฟัง ประการแรก คือยึดเครื่องมือการผลิตเสีย ยึดยังไงล่ะครับท่านผู้ฟัง ก็ไอ้โรงเหล้า 12 โรงที่เขาประมูลไปโดย้เงิน 9 พันกว่า ล้านบาท โรงเหล้าทั้งหมดที่ประมูลไปนั้นจะมีชื่อใครนั้นไม่สำคัญหรอกครับท่านผู้ฟัง เป็นชื่อตัวแทนทั้งนั้น แต่รวมเสร็จเรียบร้อยแล้วเป็นกลุ่มของนายเจริญทั้งสิ้น นี่คือยึดเครื่องมือการผลิตครับ ข้อแรก 

ข้อที่สอง คือออกระเบียบควบคุมการผลิต ออกมาตราการป้องกันการผลิตซะ 

ข้อที่สามขึ้นภาษีเพื่อคุ้มครองให้เรียบร้อย ท่านผู้ฟังเห็นหรือยังล่ะครับ 

และที่ร้ายกว่านั้นก็คือว่ากลุ่มนายเจริญ เมื่อ ทำไปเสร็จ 3 วิธี ก็เลยสร้างสต๊อกเหล้าที่ตัวเองสามารถที่จะเอาสต๊อกเหล้าที่มีอยู่มาหมุนไปหมุนมาได้ในระยะเวลา 3-5 ปี อย่างถูกต้องตามกฏหมาย โดยไม่ต้องเสียภาษีเลยใน 3-5 ปีต่อไปนี้จากนี้ไปกลุ่มนายเจริญ ไม่ต้องเสียภาษีเหล้าอีกต่อไปแล้ว เป็นเวลา 3-5 ปี ขึ้นอยู่กับมีมูลค่าภาษีเหล้าเท่าไหร่ เท่าที่ผมได้คำนวณมาคร่าวๆ ภาษีเหล้าที่ไม่ต้องเสียต่อปีตกประมาณราว 18,000 ล้านบาท 3 ปีก็ 54,000 ล้านบาท 5 ปีก็ 70,000 ล้านบาท 

ท่านผู้ฟังครับ ท่านผู้ฟังเห็นเด็กยากจน เห็นงบประมาณทางการสาธารณสุข เห็นงบประมาณทางการศึกษา ต้องถูกตัดออกไป 

งบประมาณทางการศึกษา เด็กซึ่งควรจะมีโอกาสได้เรียนมากขึ้น กลับไม่มีเพราะว่าประเทศจน งบประมาณสาธารณสุขซึ่งส่วนหนึ่งนั้นก็ต้องเอามาบำบัดผู้ซึ่งมีปัญหาเรื่องโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นจากพิษสุรา ถูกตัดออกไป 

แล้วภาษี ท่านผู้ฟังเห็นไหมครับที่รัฐควรจะได้ปีละ 18,000 ล้านบาทเอามาใช้ในเรื่องพวกนี้กลับถูกเบียดบังไปซะ 

ท่านผู้ฟังครับ เราพูดอะไรออกครับในยุคนี้ พูดไม่ออกครับ ท่านผู้ฟังคอยดูซิครับ ไม่เชื่อก็คอยดูว่า สต๊อกเหล้าที่กลุ่มนายเจริญสร้างขึ้นมาเพื่อ recycle ต่อไปอีก 3-5 ปี ในขณะนี้มีเหล้ายี่ห้อหนึ่งชื่อเหล้ามังกรทอง ผลิตออกมาถูกต้องตามกฏหมาย แต่ท่านผู้ฟังรู้ไหมครับเขาใช้โควต้าของสุรามหาราษฎร์ และสุราทิพย์ ตอนนี้เหล้านี้เก็บอยู่ประมาณ 150 ล้านขวด กำลังจะออกมาจำหน่าย 

ไม่เคยมีใครรู้จักว่าเหล้ามังกรทองคือเหล้าอะไร ท่านผู้ฟัง แต่เป็นเหล้าที่ไม่ได้เสียภาษีแม้แต่บาทเดียวครับ เพราะใช้โควต้าของสุรามหาราฎร์ และสุราทิพย์ นั่นคือโควต้าภาษีเก่าที่เสียไปแล้ว เอามา recycle 

เหล้านี้ใช้บริษัทสุรา-กระทิงแดงของนายเฉลียว อยู่วิทยา มาบังอยู่ข้างหน้า ท่านผู้ฟังครับ เหล้าหงส์ทองหายไปแล้วครับท่านผู้ฟัง หงส์ทุกชนิด หายออกไปหมดแล้ว เพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องผลิตหงส์ข้ามเขต เหล้าสุราแม่โขงก็ขายตกเอาตกเอา เพราะไม่มีความจำเป็นจะต้องขายให้ดี ไม่มี ความจำ เป็นครับ เพราะสุราแแม่โขงไม่ใช่กลุ่มของนายเจริญ สุราแม่โขงเป็นของรัฐบาล แม่โขง กวางทอง หงส์ทอง ซึ่งเป็นลิขสิทธิของรัฐบาลทั้งหมดกำลังจะพังพินาศลงไปครับ ขายไม่ออก เพราะเขากำลังผลิตเหล้าอื่นออก มาแทน เพราะว่าเปิดเสรีแล้วนี่ครับท่าน เพราะฉะนั้น แล้วอะไรที่เป็นสมบัติของรัฐต้องฆ่าให้ตายไปหมด คำถามที่ผมอยากจะถามครับท่านผู้ฟัง อันนี้เขาเรียกว่ามาตรการส่งเสริมการลงทุนแบบไหนครับ 

อันนี้เป็นมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภคแบบไหนครับ 

และอันนี้ที่สำคัญที่สุด เป็นการเปิดเสรีภายใต้คำจำกัดความแบบไหนครับ 

ท่านผู้ฟังครับ แม้กระทั่งคณะกรรมการป้องกันการผูกขาดกระทรวงพาณิชย์ก็ยังตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกลุ่มสุราครับ 

ท่านผู้ฟังจำได้ไหมครับ ผมพายัพ วนาสุวรรณ เคยพูดเรื่องนี้กรณีที่คณะกรรมการป้องกันการ ผูกขาดและการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งมีนายศุภชัย พาณิชยภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรีคนที่จะไปเป็นผู้อำ นวยการองค์ารค้าโลกที่เอาประโยชน์ของชาติไปแลกกับตำแหน่งที่ตัวเองต้องการ เป็นประธานอยู่ 

คณะกรรมการนี้ท่านผู้ฟังยั 
งจำได้ไหมที่ชี้ออกมาบอกว่าการขายเหล้าพ่วงเบียร์ของกลุ่มนายเจริญนั้นไม่ได้เป็นการผูกขาด ท่านผู้ฟังครับเขาช่วยกันจนไม่รู้ว่าจะช่วยกันยังไงแล้วครับ 

ประเทศชาติช้ำยังไม่พออีกหรือครับ พณฯท่าน 

ท่านผู้ฟังครับเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ของชาติ 

เป็นเรื่องใหญ่มากมากของชาติครับท่านผู้ฟัง เพราะเป็นการกระทำที่ร่วมมือกันของข้า ราชการของรัฐ บวกนักการเมือง ผสมผสานกับผู้ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แต่ถูกสินบาทคาดสินบนและผลประโยชน์ ฟาดเสียเอาไปเพื่อดำเนินการรังแกผู้บริโภคในฐานะที่ผลิตของที่ราคาแพงเกินควร สองเบียดบังผลประโยชน์ที่ชาติควรจะได้รับ และสามสร้างความร่ำรวยและเอาความร่ำรวยนั้นไปบริจาคทำบุญทำกุศลให้ตัวเองได้หน้าได้ตา บนหยาดเหงื่อแล้วก็หยดเลือดและน้ำตาของสังคมไทย