วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559

เซ็นทรัล-TCC” เปิดศึกยก 2 ชิง “บิ๊กซี” แข่งแนวรบเออีซี

  กลุ่มเซ็นทรัลและทีซีซีกรุ๊ปเริ่มเปิดศึกยก 2 ชิงกิจการ “บิ๊กซี เวียดนาม” หลังจบยกแรก ทีซีซีกรุ๊ปคว้าชัยชนะฮุบกิจการบิ๊กซี ประเทศไทย มูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.23 แสนล้านบาท และแม้ดีลเวียดนามมีมูลค่าเพียงหลักหมื่นล้านบาท แต่เจริญ สิริวัฒนภักดี ทุ่มทุนเต็มที่ เพื่อต่อจิ๊กซอว์สร้างอาณาจักรค้าปลีกที่รุกขยายอย่างต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ยึดครองตลาดอาเซียน    ล่าสุดมีรายงานว่า บิ๊กซี เวียดนาม ได้รับความสนใจจากผู้ร่วมประมูลมากมายทั่วเอเชีย ทั้งทีซีซี โฮลดิ้งส์ กลุ่มเซ็นทรัล อิออนกรุ๊ป ค้าปลีกจากญี่ปุ่น และลอตเต้กรุ๊ป บรรษัทข้ามชาติด้านอาหาร เคมีภัณฑ์ และห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มทุนท้องถิ่นอย่าง โคออปมาร์ท และมาซันกรุ๊ป     การยื่นประมูลที่มีผู้ชิงชัยหลายรายส่งผลให้มูลค่าซื้อขายพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 1,000 ล้านยูโร หรือราว 38,000 ล้านบาท โดยการประชันรอบแรกสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ซึ่งคาสิโน กรุ๊ป ค้าปลีกจากฝรั่งเศส เจ้าของบิ๊กซี เวียดนาม จะพิจารณาเลือกบริษัทผู้ยื่นข้อเสนอดีที่สุด 5 แห่ง เพื่อยื่นแผนประมูลฉบับสมบูรณ์ช่วงกลางเดือนเมษายนนี้ ก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้าย   แน่นอนว่า กลุ่มทุนต่างชาติต่างต้องการ “บิ๊กซี” เพื่อสร้างฐานในเวียดนามและเป็นสปริงบอร์ดสยายปีกครอบคลุมตลาดอาเซียน เนื่องจากเวียดนามคือจุดยุทธศาสตร์ใหญ่ มีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจสูงและกำลังเปิดรับการลงทุนอย่างเต็มที่ ผู้คนมากกว่า 90 ล้านคน มีกำลังซื้อสูง ซึ่งทุนยักษ์ใหญ่ของไทย ทั้งทีซีซีกรุ๊ป และกลุ่มเซ็นทรัลต่างเร่งปักหมุดสร้างเครือข่ายธุรกิจและหวังผลเดียวกัน    สำหรับ “ทีซีซีกรุ๊ป” จัดกระบวนทัพเบนเข็มพุ่งเป้ารุกค้าปลีกในเวียดนามนานหลายปี โดยมีบริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “บีเจซี” เป็นหัวหอกหลัก เข้าไปสร้างฐานโรงงานผลิตแก้ว กระป๋อง บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งในเวียดนามและหลายประเทศในอาเซียน จากนั้นขยายเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีก ผนึกกับกลุ่มทุนเวียดนาม “ภูไทกรุ๊ป” ฮุบร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทและเปลี่ยนชื่อเป็น บีส์ มาร์ท (B's Mart) โดยตั้งเป้าปูพรมขยายสาขา 700 แห่งในปี 2560 เพื่อเจาะลูกค้ารายย่อย   ขณะเดียวกัน ซื้อกิจการของ “เมโทรกรุ๊ป แคช แอนด์ แคร์รี” ธุรกิจค้าส่งในเวียดนาม รูปแบบเดียวกับ “แมคโคร” มูลค่า 25,656 ล้านบาท เพื่อใช้เวียดนามเป็นฐานทำตลาดในกัมพูชาและลาว โดยในลาวซื้อกิจการร้านเอ็มพอยท์มาร์ท รองรับการส่งต่อสินค้า   อีกขาหนึ่ง ทีซีซีกรุ๊ปควักเงินมากกว่า 3 แสนล้านบาท ซื้อกิจการ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) จากสิงคโปร์ เพื่อเสริมธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ เพิ่มเครือข่ายและช่องทางการกระจายสินค้าทั่วประชาคมเศรษฐกิจเออีซี    หากเจริญคว้า “บิ๊กซี เวียดนาม” ซึ่งล่าสุดมีสาขารวม 30 แห่ง ย่อมหมายถึงการยึดธุรกิจผลิตและจำหน่ายอย่างครบวงจร ทั้งช่องทางค้าปลีกรายย่อย ค้าส่งเจาะผู้ประกอบการและโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ มีสาขารวมกันมากกว่าพันแห่ง    เช่นเดียวกับกลุ่มเซ็นทรัลที่ชูธงปักหมุดในเวียดนามเป็นจุดยุทธศาสตร์แรก โดยตั้งกลุ่มธุรกิจประเทศเวียดนาม (Central Group Vietnam) เมื่อปี 2554 และเริ่มบุกตลาดเออีซีครั้งแรกเมื่อปี 2556 โดยเปิดตัวร้าน ซูเปอร์สปอร์ต (Supersports) แห่งแรกในเวียดนาม ใน Vincom Center Ba Trieu ห้างหรูอันดับหนึ่งของกรุงฮานอย ตามด้วยร้าน คร็อคส์ (Crocs) ร้านนิวบาลานซ์ (New Balance)   ปี 2558 ร่วมลงทุนกับบริษัทค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของเวียดนาม “เหงียน คิม เทรดดิ้ง จอยท์ สต็อค คอมพานี” ในนาม “เพาเวอร์บาย” เพื่อขยายกิจการค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าเพาเวอร์บายผ่านสาขาของเหงียน คิม ทั้ง 21 สาขาทั่วประเทศ   นอกจากนี้ ลงทุนเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินส์ 2 สาขา คือ สาขาฮานอยและสาขาโฮจิมินห์ซิตี้ หวังเจาะประชากรเวียดนามที่มีกว่า 90 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานกำลังซื้อสูง โดยสาขาฮานอย ตั้งอยู่บนพื้นที่ 10,000 ตร.ม. บริเวณชั้นบี 1 ของโรยัลซิตี้ เมืองฮานอย ซึ่งเป็นเมกะมอลล์ขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุด ส่วนห้างสรรพสินค้าโรบินส์สาขา 2 อยู่กลางกรุงโฮจิมินห์ซิตี้ พื้นที่ 12,000 ตร.ม.   ขณะเดียวกัน ทยอยขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนโดยปี 2557 เปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ในศูนย์การค้าอีท มอลล์ แกรนด์ อินโดนีเซีย พื้นที่ราว 20,000 ตร.ม. มีแบรนด์สินค้ากว่า 500 แบรนด์   ล่าสุด บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด ซื้อกิจการกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้งเสื้อผ้า แฟชั่น “กลุ่ม HCH” ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นในตลาดโลคอลมาเลย์ ที่มียอดขายอันดับ 1 ในประเทศมาเลเซีย และเตรียมเปิดตัวโครงการเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ (Central i-City) ศูนย์การค้าในต่างประเทศแห่งแรกของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา ที่ประเทศมาเลเซีย ในโครงการ i-City เมืองชาห์อลัม รัฐสลังงอร์ โดยเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม i-Berhad เจ้าของโครงการ i-City คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2561   ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเซ็นทรัลกล่าวว่า ปี 2559 กลุ่มเซ็นทรัลจะให้น้ำหนักกับการลงทุนในอาเซียน หลังจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เร่งขยายธุรกิจในตลาดยุโรป จนสามารถสร้างเซกเมนต์ที่ชัดเจนของกลุ่มห้างสรรพสินค้าระดับลักชัวรี ให้เป็นลักชัวรี เดสทิเนชั่น ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องมาเยือน เรียกว่า Central One World of Luxury ประกอบด้วย 7 ห้างสรรพสินค้า ได้แก่ ลา รีนาเชนเต (La Rinascente) อิลลุม (Illum) คาเดเว (KaDeWe) อัลสแตร์เฮ้าส์ (Alsterhaus) โอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) เซ็นทรัล ชิดลม และเซ็นทรัล เอ็มบาสซี   เหตุผลสำคัญ คือรายได้ธุรกิจในต่างประเทศมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 5% เมื่อปี 2544 เป็น 18% ในปี 2558 จากรายได้ยอดขายทั้งสิ้น 283,450 ล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 24% ในปี 2559 จากเป้าหมายรายได้รวม 337,040 ล้านบาท    ทิศทางของบริษัทลูกในเครือจึงเร่งเพิ่มสาขาในเวียดนามเป็นอันดับแรก เช่น บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าเปิดสาขาร้านออฟฟิศเมทและบีทูเอสในเวียดนาม 20-27 แห่ง และขยายต่อเนื่องไปยังอินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว พม่า    ส่วนบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN กำลังศึกษาการลงทุนศูนย์การค้าในเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะเข้าลงทุนในรูปแบบร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเหมือนโครงการเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ที่มาเลเซีย   เปรียบเทียบจุดแข็งจุดเด่น ในฐานะยักษ์ใหญ่ที่มีรูปแบบค้าปลีกมากมายอย่างกลุ่มเซ็นทรัลกับทีซีซีที่ยังเป็นมือใหม่ในวงการ แต่ในฐานะทุนยักษ์ใหญ่ที่มีเม็ดเงินเต็มหน้าตัก กล้าได้กล้าเสียอย่าง “เจริญ สิริวัฒนภักดี”    ศึกชิง “บิ๊กซี” ยกที่ 2 ล้วนมีผลและย่างก้าวสำคัญที่จะบอกว่า ใครคือยักษ์ค้าปลีกในอาเซียน - 


วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

สุดยอดหุ้นที่ให้ผลตอบแทนระยะยาวสูงที่สุดในอเมริกา!

ท่านผู้อ่านได้อ่านหัวข้อวันนี้แล้วก็อาจจะนึกอยู่ในหัวใช่ไหมล่ะครับว่า สุดยอดหุ้นที่น่าจะให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในอเมริกานี่มันจะให้ผลตอบแทนที่สูงกันขนาดไหนเชียว
ผมว่าท่านลองมาดูกราฟผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นตัวนี้ก่อนดีกว่าครับ ซึ่งหากท่านลงทุนในหุ้นดังกล่าวตั้งแต่ปี 1968 ด้วยเงินลงทุน $1 เมื่อระยะเวลาผ่านมาถึงช่วงต้นปี 2015 เงินเพียงแค่ $1 ในวันนั้นจะงอกเงยจากมูลค่าของหุ้นที่เพิ่มขึ้นรวมเงินปันผลที่ได้เป็นเงินที่มากถึง $6,638 กันเลยทีเดียว นั่นแปลว่าระยะเวลาที่ผ่านไปประมาณ 46 ปี เงินก้อนนี้จะเพิ่มขึ้นกลายเป็น 663,800% หรือให้ผลตอบแทนเฉลี่ยทบต้นที่มากถึง 20.6% ต่อปี ในเวลาเกือบกว่าครึ่งศตวรรษ!! ซึ่งนี่เป็นผลตอบแทนระยะยาวของหุ้นที่หาคู่แข่งเทียบได้ยากมากจริงๆ เห็นแบบนี้แล้วท่านผู้อ่านคงคิดว่าหุ้นดังกล่าวน่าจะต้องเป็นเหล่าหุ้นเทพๆ หุ้น Mega trend ต่างๆ หรือหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี อินเตอร์เนต หรือไบโอเทค เป็นแน่แท้เลยใช่ไหมล่ะครับ.. แต่นั่นไม่ใช่คำตอบครับ หุ้นดังกล่าวกลับกลายเป็นหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมที่แสนจะธรรมดาสามัญ ไม่ได้มีพัฒนาการอะไรพิเศษเลยอย่างกลุ่มธุรกิจ “ยาสูบ” ซึ่งเป็นบริษัท Altria (MO:US) หรือ Philip Morris อันโด่งดังนั่นเอง ซึ่งมีธุรกิจหลักคือขายบุหรี่ โดยมียี่ห้อดังอย่าง Marlboro เรียกได้ว่านี่คือสุดยอดหุ้นยาสูบระดับโลกเลยทีเดียว
- See more at: http://www.finnomena.com/junior177/premium-content/guru-pick/2016/03/10/20/best-longterm-us-stock/?utm_source=fb_page#sthash.ufBuh6pM.dpuf

ภาพแสดงจำนวนเงินลงทุนในหุ้น Altria เมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหุ้น S&P500 ตั้งแต่ปี 1968 ถึงช่วงปี 2015 - See more at: http://www.finnomena.com/junior177/premium-content/guru-pick/2016/03/10/20/best-longterm-us-stock/?utm_source=fb_page#sthash.ufBuh6pM.dpuf


ภาพแสดงผลตอบแทนระยะยาวของแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรมในอเมริกา
ที่มา: Credit Suisse Global Investment Returns Yearbook 2015
ผลตอบแทนของหุ้นดังกล่าวยังสอดคล้องกับผลตอบแทนระยะยาวของกลุ่มอุตสาหกรรมในอเมริกาซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมยาสูบกลับกลายเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่สร้างผลตอบแทนได้ดีที่สุดในอเมริกานับตั้งแต่ปี 1990 ถึง 2010 โดยหากเริ่มลงทุนด้วยเงิน $1 ในปี 1900 เงินลงทุนดังกล่าวจะเติบโตกลายเป็นเงินประมาณ $6.3 ล้าน ซึ่งเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมในอเมริกาที่เงินจะเติบโตเป็นเงินประมาณ $38,255 หรือสูงเป็น 165 เท่าของค่าเฉลี่ย
แล้วทำไมหุ้นในกลุ่มยาสูบถึงกลับกลายเป็นสุดยอดการลงทุนที่แสนมหัศจรรย์นี้ไปได้?
จริงอยู่ครับที่ว่าหุ้นในกลุ่มยาสูบเป็นธุรกิจที่ขายสินค้าที่คนเสพย์ติด แต่หากเรามาดูข้อมูลเชิงพื้นฐานในด้านของการบริโภคบุหรี่แล้วจะเห็นได้ชัดเจนครับว่าคนรุ่นใหม่มีแนวโน้มสูบบุหรี่ลดลงอย่างต่อเนื่องหลังจากที่อัตราการบริโภคทำจุดสูงสุดในปี 1981 ด้วยตัวเลขการบริโภคบุหรี่มากถึงปีละ 640,000 ล้านมวนต่อปี และลดลงมาเหลือประมาณ 360,000 ล้านมวนในปี 2007 หรือลดลงต่อเนื่องกว่า 44% ในระยะเวลา 26 ปี ประกอบกับธุรกิจยาสูบมักจะเป็นธุรกิจที่มักจะโดนข้อจำกัดทางกฎหมายเยอะ ทั้งการโฆษณาต่างๆ การจำกัดอายุของผู้บริโภค หรือโดนเก็บภาษีเพิ่มขึ้นมาโดยตลอด
- See more at: http://www.finnomena.com/junior177/premium-content/guru-pick/2016/03/10/20/best-longterm-us-stock/?utm_source=fb_page#sthash.ufBuh6pM.dpuf


ภาพแสดงข้อมูลการบริโภคบุหรี่ของคนอเมริกา
ที่มา: http://www.fool.com/investing/general/2015/02/13/the-extraordinary-story-of-americas-most-successfu.aspx
แต่กุญแจสำคัญที่ทำให้ Altria กลับกลายเป็นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนมหาศาลขนาดนี้ได้ก็คือ
  • ความกลัวและความรังเกียจในการลงทุนหุ้นกลุ่มยาสูบ
สิ่งเหล่านี้ทำให้กลุ่มนักลงทุนหลายท่านหลีกเลี่ยงการลงุทนในหุ้นยาสูบ ซึ่งหลายท่านมองว่าเป็นธุรกิจที่ไม่ค่อยจะถูกศีลธรรมมากนัก ทำให้ valuation ของหุ้นกลุ่มนี้ถูกกดให้ถูกกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ ซึ่งนั่นหมายถึงการที่นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนที่สูงจากเงินปันผล ยิ่งถ้าบริษัทรักษากำไรได้สม่ำเสมอ นักลงทุนจึงได้รับปันผลที่ค่อนข้างจะดีมาก
  • ความยั่งยืนจากการที่ธุรกิจยาสูบไม่ต้องคิดค้นนวัตกรรมหรือพัฒนาอะไรใหม่ๆ
เป็นธุรกิจที่เรียกได้ว่าคุณสมบัติหุ้น VI พันธุ์แท้ฉบับวอเร็น บัฟเฟต กันเลยทีเดียว หุ้นยาสูบนั้นเป็นหุ้นที่เรียกได้ว่าไม่ได้มีนวัตกรรมอะไรใหม่ๆมากมายมาแข่งขัน บริษัทเรียกได้ว่าแทบจะไม่ต้องพัฒนาอะไรเลยต่างจากบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยีต่างๆ อย่างเช่นโทรศัพท์มือถือเอง ใครจะคิดล่ะครับว่า Nokia หรือ Blackberry ที่เคยเป็นผู้นำแห่งมือถือจะล้มหายตายจากไปจากตลาดได้ แต่ในมุมของ Altria แบรนด์ชั้นนำที่บริษัทมีประกอบกับการที่ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงในผลิตภัณฑ์มาก กลับทำให้ธุรกิจสามารถให้ผลตอบแทนได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว หลาย่านอาจจะสงสัยว่าหุ้นดีขนาดนี้ทำไมบัฟเฟตต์กลับไม่ซื้อ สาเหตุหลักนั้นเนื่องจากเขามองว่าจะทำให้ชื่อเสียงเขาได้รับความเสียหายได้เช่นกันครับ
และด้วยเหตุผลนี้เองก็เป็นข้อเตือนใจให้เราได้คิดอีกแล้วครับว่า ธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนได้ดีในระยะยาว มักกลับกลายเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องมีการพัฒนาอะไรใหม่ๆมากมาย หรือลงทุนเพิ่มเติมสูง หากแต่กลายเป็นธุรกิจที่เรียบง่ายและสามารถสร้างรายได้และกำไรได้สม่ำเสมอนั่นเอง
- See more at: http://www.finnomena.com/junior177/premium-content/guru-pick/2016/03/10/20/best-longterm-us-stock/?utm_source=fb_page#sthash.ufBuh6pM.dpuf