วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559
จริงหรือ? เมื่อนักวิทย์ชื่อดังสรุป ‘โลกเราถูกสร้างโดยพระเจ้า’
ถ้าหากบอกว่า
มีนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่งบอกว่า “พระเจ้ามีอยู่จริง”
คุณอาจคิดว่านักวิทยาศาสตร์คนนั้นเพี้ยนก็เป็นได้
แต่ถ้าหากเป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับระดับโลกเป็นคนพูดเองล่ะ ?
ดร. มิชิโอะ คะกุ
นักฟิสิกส์ลูกครึ่งญี่ปุ่น-อเมริกัน ที่เป็นหนึ่งในนักวิทยาศาสตร์ที่ยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งในยุคปัจจุบัน
จากผลงานหนังสือ Hyperspace ที่เป็น Best Seller ในอเมริกา และได้รับเลือกจาก The New York Times ในปี ค.ศ. 1994 และ The Washington Post และยังมีผลงาน Parallel Worlds ที่ทำให้ได้รับรางวัล Samuel Johnson Prize ในปี 2005
และนอกจากนั้น ยังมีหนังสืออีก 3
เล่มที่ได้รับการยืนยันจาก The New York Times ให้เป็น Best Seller อีกด้วย
แถมยังเป็นวิทยากรให้กับรายการสารคดีชื่อดังอีกมากมายอย่าง BBC, Discovery Channel, History Channel และ Science Channel ซึ่ง ดร.คะกุ คนนี้ไม่ธรรมดาแน่นอน
มาพูดถึงสิ่งที่
ดร.คะกุกล่าวอ้างเกี่ยวกับ ‘พระเจ้ากัน’ ซึ่ง ดร.คะกุเรียกสิ่งนี้ว่า “primitive semi – radius tachyons “ หรือแปลเป็นไทยตรงๆ ว่า “กึ่งบรรพกาล –
รัศมีแทคคิออน”
แทคคิออน คือ
อนุภาคที่เคลื่อนที่เร็วกว่าแสง แต่ปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบอย่างเป็นทางการ
ซึ่งมันมีศักยภาพในการถอดรหัสจักรวาล หรือ สูญญากาศในอวกาศระหว่างอนุภาคต่างๆ
ที่ทิ้งทุกอย่างเป็นอิสระจากอิทธิพลโดยรอบของจักรวาล โดยหลังจากการทดสอบแล้ว
ดร.คากุสรุปได้ว่า เราอาศัยอยู่ใน “แมทริกซ์”
“ผมขอสรุปว่า
เราอยู่ในโลกที่ถูกสร้างขึ้นด้วยกฏต่างๆ โดยภูมิปัญญาอย่างหนึ่ง” เขายืนยัน
“เชื่อผม ทุกสิ่งที่เราเรียกว่าบังเอิญวันนี้ มันจะไม่สมเหตุสมผลอีกต่อไป”
“สำหรับผม มันชัดเจนว่า
เราอยู่ในแผนการหนึ่ง ที่ถูกปกครองโดยกฏต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้น ถูกออกแบบขึ้น
โดยภูมิปัญญาหนึ่งในจักรวาล และมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ”
ทฤษฎีของ ดร.คะกุ
ดูเหมือนจะเป็นการบอกทุกคน ว่า จริงๆ
แล้วโลกของเราถูกสร้างขึ้นมาจากสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็น ‘พระเจ้า’ ก็เป็นได้
ซึ่งแน่นอนว่าข้อมูลดังกล่าวได้สร้างความปั่นป่วนให้กับชุมชนวิทยาศาสตร์ เพราะ ดร.คะกุ
ถือเป็นนักวิทยาศาสตร์คนสำคัญคนหนึ่งของโลกในปัจจุบันนี้
และยังเป็นหนึ่งในผู้สร้างและนักพัฒนาทฤษฎีสตริง ซึ่งเกี่ยวกับโลกคู่ขนานอีกด้วย
CTH กำลังจะล่มสลาย จริงหรือ
ช่วงนี้ CTH อาจกำลังจะเข้าสู่ภาวะการเป็นดักแด้เพื่อรอเวลาลอกคราบ เพราะเมื่อลอกคราบออกมาแล้ว อาจกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง เหมือนหนอนกลายเป็นผีเสื้อก็ได้ คอยดูฝีมือคุณวิชัย ทองแตง ในตอนต่อไป...โปรดอย่ากระพริบตา
หลายคนคงสงสัยว่า คุณวิชัย ทองแตง ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักปั้นดินให้เป็นดาว และนักเล่นหุ้นมือระดับต้นๆของประเทศไทย มาเสียท่าให้กับการทำธุรกิจเคเบิลทีวี ในชื่อ CTH ได้อย่างไร ใครเป็นคนพาคุณวิชัยมาตกที่นั่งลำบากในวัย 70 ปี หรือคุณวิชัยอยากฝากผลงานชิ้นสำคัญ (The Last Master Pice) ก่อนวางมือไปเลี้ยงหลานเอง
เขยสมุทรสาคร
ก่อนอื่นต้องบอกว่า คุณวิชัย ทองแตง เป็นเขยจังหวัดสมุทรสาคร ทุกวันนี้มีบ้านปลูกอยู่ริมแม่น้ำแม่กลอง และยังกลับบ้านไปนอนที่สมุทรสาครทุกวัน ในวันหยุด ก็จะไปเดินจ่ายตลาด ที่ตลาดสดแม่กลอง ใส่กางเกงขาสั้น ลากลองเท้าแตะ เดินตามหลังคุณแม่บ้าน ถือตะกล้าเพื่อให้คุณแม่บ้านจ่ายตลาด เพื่อมาทำอาหารทานที่บ้านกับครอบครัว อย่างมีความสุขไม่เคยขาด
คุณวิชัย เกี่ยวข้องกับเคเบิลท้องถิ่นได้อย่างไร
ถัดจากบ้านคุณวิชัย ไม่เกิน 100 เมตร เป็นบ้านของคุณสุรพล ซีประเสริฐ อดีตนายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ที่มีศักดิ์เป็น น้าเขยของคุณวิชัย คงพอมองเห็นความเกี่ยวพันกันแล้วนะครับว่า คุณวิชัยจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเคเบิลทีวีได้อย่างไร
ต้นเหตุมาจากเรื่องลิขสิทธิ์
คุณสุรพล เดิมมีอาชีพทำประมง เป็นไต้ก๋ง ออกเรือไปหาปลาในท้องทะเล เคยมีตำแหน่งเป็นนายกสมาคมประมง จังหวัดสมุทรสาคร และเคยเป็นเลขาธิการสมาคมประมงแห่งประเทศไทย และเป็นคนทำโครงการน้ำมันเขียว ให้กับชาวประมง เพื่อให้ชาวประมงทั่วประเทศ ได้ใช้น้ำมันเขียวในราคาถูก คุณสุรพล เข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเคเบิลทีวี เพราะทำเคเบิลท้องถิ่นอยู่ที่อำเภอกระทุ่มแบน จ. สมุทรสาคร มากว่า 15 ปี และต่อมาได้เข้ามาร่วมก่อตั้งบริษัท เคเบิลไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มีชื่อย่อว่า CTH เพื่อมาแก้ปัญหา ผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่นถูกกล่าวหาว่าเป็น "เคเบิลเถื่อน" เพราะไปละเมิดลิขสิทธิ์ช่องรายการของ True Vision และเจ้าของลิขสิทธิ์รายอื่นๆเป็นประจำ
เคเบิลท้องถิ่นถูกรังแกเป็นประจำ
สาเหตุที่เคเบิลท้องถิ่นต้องไปละเมิดลิขสิทธิ์เพราะ เคเบิลท้องถิ่นแต่ละราย เป็นรายเล็ก ไม่สามารถไปเจรจาซื้อลิขสิทธิ์ช่องรายการดีๆจากต่างประเทศมาให้บริการกับสมาชิกได้ หรือบางทีไปซื้อมาได้ ก็จะถูกเคเบิลเจ้าใหญ่ระดับชาติ เข้าไปเจรจาแย่งซื้อต่อ โดยเสนอให้ราคาที่สูงกว่า และขอซื้อแบบผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว หรือไม่ยอมให้เจ้าของลิขสิทธิ์ แบ่งขายลิขสิทธิ์ให้เคเบิลท้องถิ่น สุดท้ายเมื่อเคเบิลท้องถิ่นซื้อลิขสิทธิ์แบบถูกต้องไม่ได้ ก็ต้องขโมยเอา เคเบิลท้องถิ่นเคยพยายามเรียกร้องให้ภาครัฐช่วยเหลือในเรื่องการป้องกันไม่ให้มีการซื้อลิขสิทธิ์แบบผูกขาดแต่เพียงผู้เดียว เหมือนในต่างประเทศเขาทำกัน แต่ไม่เคยได้ผล เพราะภาครัฐไม่เคยดำเนินการใดๆให้ โดยถือว่าเป็นการแข่งขันโดยเสรี หากเคเบิลท้องถิ่นละเมิดลิขสิทธิ์ก็จะเอา 7 หน่วยงานของทางราชการคือ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมศุลกากร กรมสรรพากร กรมทรัพย์สินทางปัญญา กรมประชาสัมพันธ์ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค การไฟฟ้านครหลวง มาปราบ และสั่งปิดกิจการ เพื่อไม่ให้ดำเนินกิจการต่อไปได้ โดยมีคนสงสัยว่า แค่ปราบเคเบิลท้องถิ่น ทำไมจึงต้องระดมถึง 7 หน่วยงาน หรือจะมี Sponsor หลักในการดำเนินการ เป็นผู้อำนวยการจัดการอยู่เบื้องหลัง
เคเบิลท้องถิ่นต้องช่วยตนเอง
เมื่อหาใครช่วยแก้ไขปัญหาไม่ได้ คุณเกษม อินทร์แก้ว นายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทยในสมัยนั้น จึงต้องประชุมผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่นทั่วประเทศ เพื่อช่วยเหลือกันเอง โดยการจัดตั้ง บริษัท เคเบิลไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ CTH ขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรวบรวมเงินไปซื้อลิขสิทธิ์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อนำช่องรายการที่ซื้อมาได้ มาขายต่อให้กับผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่นทั่วประเทศ ในราคาที่เป็นธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้เคเบิลท้องถิ่นไปละเมิดลิขสิทธิ์รายอื่น โดย CTH จะไม่ทำเคเบิลทีวีแข่งกับผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่น
CTH เริ่มต้นด้วยเงิน 50 ล้านบาท
การตั้ง CTH ในระยะเริ่มต้น เป็นการลงทุนร่วมกันของผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่นประมาณ 120 ราย (ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาถือหุ้น) โดยต้องการวงเงินลงทุนเบื้องต้น 50 ล้านบาท และมีข้อกำหนดที่สำคัญคือ ผู้ถือหุ้น 1 รายจะถือหุ้นได้ไม่เกิน 2 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้มีใครเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ มาเอาเปรียบรายอื่น และเป้าหมายของบริษัท ต้องการให้บริษัท มีรายได้เท่ากับรายจ่าย หรือมีกำไรเพียงเล็กน้อย เพื่อกระจายกำไรไปสู่ผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่นโดยรวม
CTH เริ่มต้นด้วยการเป็น Content Provider
ในการดำเนินการครั้งแรก CTH สามารถเจรจาซื้อลิขสิทธิ์จากทั้งในประเทศและต่างประเทศมาได้ 16 ช่อง และส่งขายให้ผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่นทั่วประเทศ (Content Provider) ส่งผลให้เคเบิลท้องถิ่นมีช่องรายการลิขสิทธิ์ที่ถูกกฎหมายเพิ่มขึ้น การละเมิดลิขสิทธิ์ช่องรายการ จากเจ้าของช่องรายอื่นๆ เริ่มลดลง
CTH ต้องการเพิ่มทุน
ต่อมา CTH ต้องการที่จะเพิ่มคุณภาพช่องรายการ และต้องการซื้อช่องลิขสิทธิ์ช่องรายการเพิ่มเติม จึงระดมเงินลงทุนเพิ่มขึ้นเป็น 150 ล้านบาท แต่ด้วยนโยบายที่ไม่ต้องการให้ CTH มีกำไรมาก และด้วยข้อจำกัดของข้อกำหนดให้ ผู้ถือหุ้น 1 รายจะถือหุ้นได้ไม่เกิน 2 ล้านบาท ทำให้การระดมทุนไม่สามารถระดมได้ตามเป้าหมาย จึงมีการแก้ข้อกำหนดให้ ผู้ถือหุ้น 1 รายถือหุ้นได้ไม่จำกัด และอนุญาตให้บุคคลภายนอกเข้ามาถือหุ้นเพิ่มทุนได้
คุณวิชัยถูกขอร้องให้เข้ามาช่วย
คุณสุรพล ต้องการสนับสนุนโครงการ CTH ให้สำเร็จ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่นโดยรวม จึงมีการระดมเพื่อนฝูงเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุน จนกลุ่มคุณสุรพล กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน CTH และมีอำนาจในการบริหารงานโดยเด็ดขาด โดยในกลุ่มเพื่อนของคุณสุรพลที่เข้ามาร่วมระดมทุน ก็มีคุณวิชัย ทองแตง เข้ามาร่วมลงทุนด้วย โดยคุณสุรพล เป็นผู้เดินจากบ้านที่ริมแม่น้ำแม่กลองไปชวนด้วยตนเอง และขอให้คุณวิชัยมาเป็นที่ปรึกษา CTH เพื่อร่วมกันวางแผนช่วยเคเบิลบ้านนอกให้ลืมตาอ้าปากให้ได้
CTH กลายเป็น Operator
เมื่อคุณวิชัย ได้เข้ามาเป็นที่ปรึกษา CTH จึงส่งคุณกฤษณัน งามผาติพงศ์ (ต่อมาเป็น CEO คนแรกของ CTH) พร้อมทีมงานเข้ามาศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ CTH และพบว่า ด้วยโครงสร้างที่เข้มแข็งของผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่น โดยมีสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทยเป็นแกนกลาง น่าจะมีช่องทางในการนำผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่นเป็นฐานในการทำเคเบิลทีวีระดับชาติได้ โดยการปรับแนวคิดจาก การให้ CTH ไปซื้อลิขสิทธิ์ช่องรายการมาขายต่อให้กับเคเบิลท้องถิ่น (Content Provider) มาเป็นการเอา CTH มาทำธุรกิจเคเบิลทีวีระดับชาติ (Operator) โดยตรง เพื่อแข่งกับ True Vision และเพื่อยกระดับการให้บริการของเคเบิลท้องถิ่นโดยรวมให้มีมาตรฐาน โดยเปลี่ยนระบบการให้บริการเคเบิลท้องถิ่นจากระบบ Analog ไปสู่ Digital โดย CTH จะเป็นผู้ลงทุนระบบ Digital ให้เอง
ความบังเอิญครั้งที่ 1
เรื่องนี้มีความบังเอิญครั้งที่ 1 ที่ทำให้คุณวิชัย ตัดสินใจลงทุนใน CTH ได้ง่ายขึ้นคือ ในปี 2555 กสทช. กำลังจะออกใบอนุญาตประกอบกิจการเคเบิลทีวีระดับชาติ โดยถูกต้องตามกฎหมายเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยใบอนุญาตดังกล่าวจะมีอายุ 15 ปี ซึ่งจะเป็นใบอนุญาตเดียวกันกับที่ True Vision จะมีในอนาคตเช่นกัน งานนี้หาก CTH จับมือกับเคเบิลท้องถิ่นได้ CTH ก็จะโตอย่างรวดเร็ว เพราะมีเคเบิลท้องถิ่นเป็นฐานผู้ประกอบกิจการกว่า 350 ราย กระจายอยู่ทั่วประเทศ ส่วนเคเบิลท้องถิ่นก็จะสามารถทำเคเบิลทีวีต่อไปได้อย่างยั่งยืน โดยไม่ถูกรังแกเรื่องการแย่งซื้อลิขสิทธิ์เหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะมีคุณวิชัย เป็นผู้สนับสนุน
ความบังเอิญครั้งที่ 2
เมื่อแนวคิดในการทำ CTH เปลี่ยนจากการเป็น Content Provider มาเป็น Operator หัวใจของการเป็นผู้ประกอบกิจการเคเบิลทีวีคือ ช่องรายการ และถ้า CTH จะแข่งกับ True Vision ก็ต้องเอาช่องรายการที่เป็นหัวใจของ True Vision มาให้ได้ นั้นคือการแย่งซื้อลิขสิทธิ์ การถ่ายทอดสด Premier League มาให้ได้ เรื่องนี้ก็เป็นความบังเอิญครั้งที่ 2 ที่ลิขสิทธิ์ดังกล่าว ของ True Vision จะหมดในเดือน พฤษภาคม 2556 ดังนั้น หากจะล้ม True Vision คุณวิชัยจะต้องไปประมูลเอาลิขสิทธิ์ Premier League มาให้ได้ เพราะการประมูลจะเกิดขึ้นในช่วงเดือน พฤศจิกายน 2555
ได้ ไทยรัฐเข้ามาร่วมโครงการ
เพื่อให้เกิดความมั่นใจว่า โครงการดังกล่าวจะต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน คุณวิชัย จึงเพิ่มทุน CTH เป็น 300 ล้านบาท และเพิ่มอีกครั้ง เป็น 1,000 ล้านบาท เพื่อเปิดโอกาสให้ Grammy และ ไทยรัฐ เข้ามาร่วมลงทุนด้วย แต่ไม่สามารถตกลงกับ Grammy ได้ จึงจับมือกับ ไทยรัฐ เพียงรายเดียว เพื่อมาเป็น 3 ขาร่วมกับเคเบิลท้องถิ่น โดยคุณวิชัยลงทุนเพิ่ม 250 ล้านบาท ไทยรัฐลง 250 ล้านบาท ทำให้ CTH มีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 800 ล้านบาท ส่วนอีก 200 ล้านรอไว้หารายอื่นเข้ามาร่วมแทน Grammy
ได้ลิขสิทธิ์ Premier League
หลังจากได้พันธมิตรอย่างไทยรัฐเข้ามาถือหุ้นด้วย คุณวิชัยก็เหมือนเสือติดปีก การไปประมูลเอาลิขสิทธิ์ Premier League เป้าหมายของคุณวิชัยคือ "เอามาให้ได้" จึงเป็นที่มาของการสู้ราคาครั้งประวัติศาสตร์ ที่ค่าประมูลเพิ่มจาก 2,500 ล้านบาท เป็น 10,000 ล้านบาท โดยมี ธนาคารกรุงเทพ และไทยรัฐ เป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการ
CTH มั่นใจเต็ม 100
เมื่องานใหญ่ทำสำเร็จ 3 เรื่องคือ ได้ CTH มาบริหารอย่างเต็มรูปแบบ ได้ไทยรัฐมาเป็นผู้ถือหุ้นเพิ่ม และได้ Premier League มาไว้อยู่ในมือ ทำให้ผู้บริหาร CTH มีความมั่นใจว่าจะสามารถแย่งฐานสมาชิกของ True Vision มาได้อย่างแน่นอน และจะสามารถเพิ่มฐานสมาชิกได้ถึง 10 ล้านครัวเรือนภายในเวลา 3 ปี เมื่อ 3 ก้าวแรกที่เดินไปประสบผลสำเร็จ ความมั่นใจจึงเต็ม 100 จนเป็นที่มาของความผิดพลาดของ CTH ในเวลาต่อมา
ความผิดพลาดครั้งที่ 1
เมื่อ CTH มีความมั่นใจสูง จึงมั่นใจว่า เคเบิลท้องถิ่นทุกรายจะต้องเข้าร่วมโครงการกับ CTH อย่างแน่นอน ดังนั้นการตั้งเงื่อนไขเพื่อให้เคเบิลท้องถิ่นเข้าร่วมโครงการ จึงมีการตั้งแบบไม่ง้อเคเบิลท้องถิ่น นั้นคือ
1) เคเบิลท้องถิ่นที่จะเข้าร่วมโครงการ จะต้องส่งรายชื่อฐานสมาชิกทั้งหมดมาให้ CTH เพื่อยืนยันจำนวนฐานสมาชิก เพื่อ CTH จัดส่งกล่องรับสัญญาณระบบ Digital DVB-C ไปให้ติดตั้งกับสมาชิก "ฟรี" โดยลูกค้าที่ไม่ได้ส่งรายชื่อจะไม่ได้กล่อง Digital ฟรี
2) ต้องให้สมาชิกทั้งหมดของเคเบิลท้องถิ่น ที่ติดตั้งกล่อง Digital ของ CTH กรอกใบสมัครใหม่เพื่อเปลี่ยนมาสมัครเป็นสมาชิกของ CTH โดยตรง
3) CTH จะเป็นผู้วางบิล เพื่อเรียกเก็บเงินจากสมาชิกเอง และจะโอนส่วนแบ่งรายได้ให้ เคเบิลท้องถิ่นในภายหลัง
จากข้อกำหนดทั้ง 3 ข้อ CTH ไม่อนุญาตให้มีการต่อรอง หรือแก้ไขใดๆ เคเบิลท้องถิ่นรายใดจะมาก็มาเข้าร่วมก็มา รายใดจะไม่มาเข้าร่วมก็ไม่ต้องมา หากเปลี่ยนใจจะมาเข้าร่วมในภายหลัง จะเจอเงื่อนไขที่หนักกว่านี้อีก ซึ่งตามแนวทางที่ CTH เสนอให้กับเคเบิลท้องถิ่น จะทำให้เคเบิลท้องถิ่นเปลี่ยนสถานะจาก การเป็นเจ้าของกิจการ (Operator) ที่มีอำนาจตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียวมา 30 ปี ต้องกลายไปเป็นศูนย์บริการของ CTH เหมือนกับศูนย์บริการรถโตโยต้า ประจำจังหวัด ไม่สามารถมีอิสระในการตัดสินใจด้วยตนเองได้อีกต่อไป จึงทำให้ เคเบิลท้องถิ่นประมาณ 50% ไม่ยอมเข้าร่วมโครงการกับ CTH โดยยอมไปตายข้างหน้า ทำให้มีผู้เข้าร่วมโครงการเพียงประมาณ 170 ราย จากทั้งหมด 350 ราย ซึ่งทำให้คุณวิชัย ผิดหวังมาก จึงตัดสินใจเปิดเจรจากับผู้ที่สนใจจะทำธุรกิจเคเบิลท้องถิ่นร่วมกับ CTH เพื่อแข่งกับเคเบิลท้องถิ่นที่ไม่เข้าร่วมโครงการกับ CTH ซึ่งเป็นการเปิดศึกกับเคเบิลท้องถิ่นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน จึงเป็นที่มาของการแตกแยกในกลุ่มผู้ประกอบกิจการเคเบิลท้องถิ่น อีกกลุ่มหนึ่งโดยตรง
ความผิดพลาดครั้งที่ 2
เมื่อ CTH ได้ Premier League มาในราคาที่สูง การให้บริการเคเบิลทีวีผ่านเคเบิลท้องถิ่นอย่างเดียวจึง ไม่เพียงพอเพราะเคเบิลท้องถิ่นมีพื้นที่ให้บริการที่จำกัด CTH จะต้องให้บริการผ่านระบบดาวเทียมด้วย เพื่อให้สามารถให้บริการได้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และจะต้องให้บริการผ่านดาวเทียม Thaicom ด้วย จึงจะสามารถแย่งลูกค้า True Vision ได้อย่างรวดเร็ว เพราะถ้าให้บริการผ่านดาวเทียม Thaicom สมาชิกที่ต้องการรับ CTH เพียงแต่เอากล่องรับสัญญาณ CTH ไปแทนกล่อง True Vision โดยใช้จานดาวเทียม True Vision รับสัญญาณเหมือนเดิม ก็จะสามารถรับชม Premier League ผ่านกล่องรับสัญญาณของ CTH ได้ทันที ซึ่งจะทำให้การแย่งฐานสมาชิก True Vision เป็นไปได้อย่างง่ายดาย และรวดเร็ว
แต่เกมส์นี้ CTH ช้าเกินไป True Vision ไหวตัวทัน จึงไปกว้านซื้อ Transponder ของดาวเทียม Thaicom ไปหมด จนไม่เหลือ Transponder ให้ CTH เอามาทำเคเบิลทีวีผ่านดาวเทียม Thaicom ได้ ความจริงในเรื่องนี้ หากคุณวิชัย กลับไปคุยกับ Grammy อีกครั้ง เพื่อเอามาเป็นพันธมิตร เหตุการณ์อาจจะพลิกกลับได้ เพราะในขณะนั้น Grammy มี Transponder ในดาวเทียม Thaicom เพียงพอที่จะเอามาให้บริการ Premier League และรายการอื่นๆ ของ CTH เพื่อให้บริการเคเบิลทีวีผ่านดาวเทียม Thaicom เพื่อแย่งฐานลูกค้าของ True Vision แบบตรงๆได้
แต่คุณวิชัยเลือกที่จะไปซื้อ Transponder จากเวียตนานคือดาวเทียม Vinasat ปัญหาคือ ผู้ที่จะรับชม CTH ในระบบดาวเทียม จะต้องไปติดตั้งจานดาวเทียมใหม่อีก 1 ชุด เพราะดาวเทียม Vinasat กับ Thaicom อยู่คนละองศา จึงเป็นที่มาของ "จานฟ้า" ของ CTH ซึ่งสร้างความยุ่งยากในการให้บริการในเวลาต่อมา เพราะหากต้องการรับชม CTH ผ่านดาวเทียม จะต้องไปหาตัวแทนมาติดตั้ง จานฟ้า ซึ่งก็คือกลุ่มผู้ขายจานดาวเทียม PSI ในจังหวัดต่างๆนั้นเอง ทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น และการติดตั้งทำได้ช้า ไม่ทันกับการเปิดฤดูกาลของ Premier League ในเดือนสิงหาคม 2556
True Vision เปิดเกมส์รุก
เมื่อ True Vision เตะสกัดดาวรุ่งโดยบังคับให้ CTH ต้องไปขึ้นระบบดาวเทียมที่ Vinasat ได้ เกมส์ต่อมาคือ เจรจาเอาเคเบิลท้องถิ่นจำนวน 170 รายที่ไม่เข้าร่วมกับ CTH ไปเป็นพวก โดยยอมเสนอขายช่องรายการลิขสิทธิ์ของ True Vision ในราคาถูกให้กับเคเบิลท้องถิ่นที่ไม่เข้าร่วมกับ CTH โดยไม่ยอมขายให้กับรายที่เข้าร่วมกับ CTH เพื่อแบ่งเคเบิลท้องถิ่นออกเป็น 2 กลุ่ม ให้ต่อสู้กันเอง และเป็นการกันไม่ให้ผู้ที่ไม่เข้าร่วมกับ CTH ในช่วงแรก เปลี่ยนใจไปเข้าร่วมกับ CTH ในอนาคต ทำให้ฐานกำลังของ CTH อ่อนแรงลง และเคเบิลท้องถิ่นต้องต่อสู้กันเอง โดยมี CTH กับ True Vision เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลัง นอกจากนี้ True Vision ต้องยอมกลืนเลือด โดยหันไปจูบปากกับ PSI เพื่อเอาช่องรายการของ True Vision ไปเผยแพร่ในกล่อง PSI ทั้งๆที่ในอดีต เป็นคู่แข่งชนิดตาต่อตาฟันต่อฟัน แต่นี่แหละคือธุรกิจ ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร ศัตรูของศัตรูก็คือมิตรของเรา มิตรของศัตรูก็คือศัตรูของเรา งานนี้ PSI ส้มหล่น คว้าพุงปลาไปกินคนเดียว
CTH ไม่อยากลงทุนในสาย Coaxial ของเคเบิลท้องถิ่น
แต่ CTH ก็ยังไม่รู้ตัวว่า กำลังถูกเตะตัดขา กลุ่มเคเบิลท้องถิ่นที่เข้าร่วมกับ CTH ส่วนใหญ่เป็นรายเล็ก โครงข่ายสายเคเบิลที่จะให้บริการระบบ Digital DVB-C ของ CTH จะต้องลงทุนปรับปรุงโครงข่ายสายเคเบิลทีวีใหม่ จึงจะรับสัญญาณระบบ Digital ได้ ซึ่งเคเบิลท้องถิ่นหลายรายต้องการได้เงินทุนจาก CTH เพื่อเอาไปปรับปรุงโครงข่ายสาย เพื่อให้ทันกับการเปิด ฤดูกาล Premier League แต่ CTH ไม่ยอม อาจเนื่องจาก CTH มีความมั่นใจว่า ถึงอย่างไรก็จะสามารถล้ม True Vision ได้ และเคเบิลท้องถิ่น ถึงอย่างไรก็ต้องยอมลงทุนในสาย Coaxial ด้วยตนเอง แม้จะช้าไปบ้างก็ไม่เป็นไร ส่วน CTH ก็มีอีกแผนที่เตรียมวางโครงข่ายสายเคเบิลแบบ FTTX คู่ขนานกับสาย Coaxial ของเคเบิลท้องถิ่น เพื่อเตรียมการในอนาคต เพื่อเปลี่ยนผ่านสมาชิกที่ใช้สาย Coaxial ของเคเบิลท้องถิ่น มาใช้สาย Fiber To The Home ของ CTH เองเพื่อให้บริการ Triple Play และ Quod Play ในอนาคต จึงไม่ต้องการลงทุนโครงข่ายสาย Coaxial ในโครงข่ายเคเบิลท้องถิ่นให้ซ้ำซ้อนกัน
CTH ยึดฐานสมาชิกเคเบิลท้องถิ่น
การให้บริการของเคเบิลท้องถิ่นที่เข้าร่วมกับ CTH จะต้องเปลี่ยนระบบการให้บริการจาก ระบบ Analog ไปสู่ Digital โดยให้ CTH เป็นผู้ลงทุนห้องส่งกลาง (Headend) เพื่อส่งสัญญาณเคเบิลทีวีไปให้เคเบิลท้องถิ่น และลงทุนติดตั้งอุปกรณ์ห้องส่งระบบ Digital ที่ปลายทางที่ห้องส่งของเคเบิลท้องถิ่นแต่ละราย พร้อมส่งกล่องรับสัญญาณ Digital DVB-C ไปให้เคเบิลท้องถิ่นเพื่อติดตั้งให้กับสมาชิก "ฟรี" โดยสมาชิกที่ติดตั้งกล่อง Digital ของ CTH ทั้งหมด จะต้องกรอกใบสมัครใหม่ เพื่อสมัครเป็นสมาชิกของ CTH (ไม่ใช่สมาชิกของเคเบิลท้องถิ่นอีกต่อไป)
CTH ผิดพลาดเรื่อง "เงิน"
เมื่อ CTH เปิดให้บริการจริงในสายเคเบิลท้องถิ่น ในทางเทคนิค สามารถให้บริการได้ แต่ติดขัดที่ระบบการเก็บเงินของ CTH ที่ CTH มีหน้าที่ต้องเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนจากสมาชิก แล้วแบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้เคเบิลท้องถิ่นตามสัดส่วนที่ได้ตกลงกัน หากสมาชิกไม่จ่ายเงิน CTH ก็สามารถสั่งตัดสัญญาณได้โดยตรง ตามเงื่อนไขที่ CTH ได้กำหนดไว้ในใบสมัครสมาชิก ปรากฎว่า หลังจากที่เปิดสัญญาณให้บริการกับสมาชิกแล้ว เคเบิลท้องถิ่นก็ไม่ได้รับส่วนแบ่งรายได้จาก CTH ตามที่ได้ตกลงกัน และ CTH ก็ไม่ได้ตัดสัญญาณกับสมาชิก ปัญหาจึงเกิดขึ้นว่า CTH เก็บเงินจากสมาชิกได้แล้ว ไม่แบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้เคเบิลท้องถิ่น หรือ CTH เก็บค่าบริการรายเดือนกับสมาชิกไม่ได้ จึงไม่แบ่งส่วนแบ่งรายได้ให้เคเบิลท้องถิ่น แต่ก็น่าสงสัยว่า หากสมาชิกไม่จ่ายค่าบริการรายเดือนให้ CTH ทำไม CTH จึงไม่ตัดสัญญาณเคเบิลทีวีของสมาชิก ทั้งๆที่ระบบของ CTH สามารถตัดสัญญาณได้ทันที โดยไม่ต้องไปตัดที่บ้านสมาชิก ปัญหาเรื่อง "การจ่ายเงินค่าส่วนแบ่งรายได้" จึงเป็นที่มาของความขัดแย้งระหว่างเคเบิลท้องถิ่น กับ CTH จนเคเบิลท้องถิ่นหยุดส่งสมาชิกให้ CTH และกลับไปให้บริการระบบ Analog กับสมาชิก และเก็บค่าสมาชิกกับสมาชิกเหมือนเดิม เส้นทางการทำงานร่วมกันระหว่าง CTH กับเคเบิลท้องถิ่นจึงไม่ราบรื่น ทำฐานสมาชิกที่ CTH ได้จากเคเบิลท้องถิ่นไม่เพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ และเคเบิลท้องถิ่นหลายรายก็หยุดทำงานร่วมกับ CTH
CTH จับมือกับ PSI
แทนที่ CTH จะเข้ามาแก้ปัญหาในเรื่องนี้ให้ถูกจุด CTH กลับมองว่า การให้บริการผ่านเคเบิลท้องถิ่น ไม่ได้ผล และไม่มีอนาคต จึงต้องการหาช่องทางอื่นเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มฐานสมาชิก CTH โดยการไปติดต่อกับ PSI (ตาอยู่อีกแล้ว) เพื่อให้บริการช่องรายการของ CTH ผ่านฐานสมาชิกของ PSI โดยมีการออก Package ร่วมกับ PSI และเรียกเก็บค่าบริการรายเดือนเพียง 270 บาท/เดือน เมื่อรับชมผ่านจานดาวเทียม PSI ซึ่งเป็นการออก Package เข้ามาชนกับเคเบิลท้องถิ่นโดยตรง เพราะเคเบิลท้องถิ่นเรียกเก็บค่าบริการกับสมาชิก 300-350 บาท/เดือน จุดแตกหักระหว่าง CTH กับ เคเบิลท้องถิ่นจึงเกิดขึ้น เพราะ เคเบิลท้องถิ่นมองว่า PSI เป็นคู่แข่งแต่เดิมอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วก็เจอ True Vision ครั้งนี้มาเจอ CTH ไปเสริมเขี้ยวเล็บให้กับ PSI โดยไม่ปรึกษาเคเบิลท้องถิ่นเลย จึงเป็นการประกาศสงครามกับเคเบิลท้องถิ่นนั้นเอง
CTH จับมือกับ Grammy
หลังจากนั้น CTH ก็หันไปจับมือกับ Grammy (ไม่มีอะไรแน่ในทางธุรกิจ อะไรอะไรก็เกิดขึ้นได้) โดย CTH เข้าไปถือหุ้นใน GMMZ โดยหวังจะเอา Transponder ของ Grammy และกล่อง GMM-Z มาเป็นเครื่องมือในการบุกตลาด จานดาวเทียม Ku-Band ของ True Vision ตามแผนเดิม คู่กับ PSI ผ่านดาวเทียม Thaicom โดยไม่ต้องติด "จานฟ้า" ของ CTH รวมทั้งเอาระบบ IPTV ของ Grammy ในชื่อ "ZIP TV" มาให้บริการแบบไร้สายกับสมาชิกเพิ่มเติม
เกมส์รุก CTH ล้มเหลว
แต่สายไปแล้ว เพราะชื่อเสียงของ CTH เริ่มส่อไปในทางที่ไม่ดี ประชาชนเริ่มไม่แน่ใจ ซึ่งต่างจากเมื่อได้ลิขสิทธิ์ Premier League มาใหม่ๆ ทำให้ยอดขายที่เข้ามาทางช่องทางจานดาวเทียม ทั้ง PSI และ กล่อง GMM-Z ไม่เป็นไปตามเป้า กลับเป็นการเพิ่มภาระ และเพิ่มต้นทุนการให้บริการเข้าไปอีก จนทำให้ CTH ขาดทุนเพิ่มขึ้น
แต่สายไปแล้ว เพราะชื่อเสียงของ CTH เริ่มส่อไปในทางที่ไม่ดี ประชาชนเริ่มไม่แน่ใจ ซึ่งต่างจากเมื่อได้ลิขสิทธิ์ Premier League มาใหม่ๆ ทำให้ยอดขายที่เข้ามาทางช่องทางจานดาวเทียม ทั้ง PSI และ กล่อง GMM-Z ไม่เป็นไปตามเป้า กลับเป็นการเพิ่มภาระ และเพิ่มต้นทุนการให้บริการเข้าไปอีก จนทำให้ CTH ขาดทุนเพิ่มขึ้น
กลับมาทบทวนแผน CTH
หากพิจารณาย้อนหลังในภาพรวม จะพบว่า สุดท้ายแล้ว CTH ต้องเปิดช่องทางการให้บริการสัญญาณเคเบิลทีวีของ CTH กับสมาชิกครบทั้ง 5 ช่องทางซึ่งแต่ละช่องทางก็ทำให้ CTH มีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดังนี้
1) ให้บริการผ่านเคเบิลท้องถิ่น
CTH จะต้องเช่าสาย Fiber Optic ของ Symphony และ TOT เพื่อส่งสัญญาณไปให้เคเบิลท้องถิ่น 170 รายทั่วประเทศ งานนี้ CTH ต้องเสียค่าเช่าสาย Fiber Optic ปีละเกือบ 200 ล้านบาท หากได้รายได้จากเคเบิลท้องถิ่นไม่เพียงพอ CTH ก็จะขาดทุนเพิ่มเติม
CTH จะต้องเช่าสาย Fiber Optic ของ Symphony และ TOT เพื่อส่งสัญญาณไปให้เคเบิลท้องถิ่น 170 รายทั่วประเทศ งานนี้ CTH ต้องเสียค่าเช่าสาย Fiber Optic ปีละเกือบ 200 ล้านบาท หากได้รายได้จากเคเบิลท้องถิ่นไม่เพียงพอ CTH ก็จะขาดทุนเพิ่มเติม
2) ให้บริการผ่านจานดาวเทียม Vinasat ของเวียตนาม
โดยทาง CTH ไปเช่า Transponder จากดาวเทียม Vinasat คงต้องดูว่า สัญญาเช่ากี่ปี และเสียค่าเช่าปีละเท่าใด จึงจะตัดสินใจได้ว่า จะคุ้มค่าหรือไม่ หรือจะให้บริการต่อไปหรือไม่
โดยทาง CTH ไปเช่า Transponder จากดาวเทียม Vinasat คงต้องดูว่า สัญญาเช่ากี่ปี และเสียค่าเช่าปีละเท่าใด จึงจะตัดสินใจได้ว่า จะคุ้มค่าหรือไม่ หรือจะให้บริการต่อไปหรือไม่
3) ให้บริการผ่านจานดาวเทียม PSI
โดยทาง CTH ต้องเสียค่าเช่า Transponder กับดาวเทียม Thaicom เพื่อส่งสัญญาณไปให้บริการเพิ่มในจานดาวเทียม PSI คงต้องดูว่า รายได้ที่ได้จากสมาชิก PSI จะเพียงพอกับรายจ่ายที่เกิดขึ้นหรือไม่
โดยทาง CTH ต้องเสียค่าเช่า Transponder กับดาวเทียม Thaicom เพื่อส่งสัญญาณไปให้บริการเพิ่มในจานดาวเทียม PSI คงต้องดูว่า รายได้ที่ได้จากสมาชิก PSI จะเพียงพอกับรายจ่ายที่เกิดขึ้นหรือไม่
4) ให้บริการผ่านกล่อง GMMZ ในระบบ Ku-Band
เมื่อไปซื้อ GMMZ จาก Grammy มาได้ จึงสามารถให้บริการ CTH ผ่านกล่อง GMMZ ในดาวเทียม Thaicom ได้ งานนี้ CTH หวังเอาไว้มาก เพราะสมาชิก True Vision ที่ต้องการรับชม Premier League ของ CTH สามารถเอากล่อง GMMZ ไปเปลี่ยนกล่อง True Vision ได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งจานดาวเทียมเพิ่มเติม แต่การได้มาก็ต้องเพิ่มต้นทุนค่า Transponder ในดาวเทียม Thaicom คงต้องดูว่า สัญญาเหลือกี่ปี และต้องจ่ายค่าเช่าปีละเท่าใด รายได้ที่เข้ามา คุ้มค่าหรือไม่
เมื่อไปซื้อ GMMZ จาก Grammy มาได้ จึงสามารถให้บริการ CTH ผ่านกล่อง GMMZ ในดาวเทียม Thaicom ได้ งานนี้ CTH หวังเอาไว้มาก เพราะสมาชิก True Vision ที่ต้องการรับชม Premier League ของ CTH สามารถเอากล่อง GMMZ ไปเปลี่ยนกล่อง True Vision ได้ทันทีโดยไม่ต้องติดตั้งจานดาวเทียมเพิ่มเติม แต่การได้มาก็ต้องเพิ่มต้นทุนค่า Transponder ในดาวเทียม Thaicom คงต้องดูว่า สัญญาเหลือกี่ปี และต้องจ่ายค่าเช่าปีละเท่าใด รายได้ที่เข้ามา คุ้มค่าหรือไม่
5) ผ่าน IPTV ในชื่อ ZIP TV ระบบนี้ เป็นระบบที่จะมีประโยชน์ในอนาคต ที่อยู่ในแผนของ CTH
CTH วางแผนลงจากหลังเสือ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา CTH ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ ไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ เพราะทุกอย่างเร่งรีบไปหมด หรือเมื่อวางแผนล่วงหน้า แผนมักจะรั่ว จนคู่แข่ง สามารถมองเกมส์ออก และแก้เกมส์ได้ทุกครั้ง ต่อให้ CTH เปลี่ยน CEO กี่คน ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ เพราะต้องรบทั้งศึกภายใน และศึกภายนอก ที่สำคัญต้องรบกับเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด เพราะทุกนาทีที่ผ่านไปคือเงินที่ไหลออกจากกระเป๋า ชนิดที่ไม่สามารถทวงคืนมาได้จน คุณวิชัย ต้องตัดสินใจยอมแพ้ และต้องวางแผนลงจากหลังเสือแบบเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ปี2558 ดังนี้
1) ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 CTH ประกาศยุติการให้บริการผ่านเคเบิลท้องถิ่น
นั้นหมายความว่า สมาชิกเคเบิลทีวีของ CTH ที่รับบริการเคเบิลทีวีของ CTH โดยใช้กล่องรับสัญญาณ DVB-C ของ CTH ผ่านโครงข่ายสายเคเบิลของเคเบิลท้องถิ่น จะไม่สามารถรับสัญญาณช่องรายการของ CTH ได้อีกต่อไป เป็นการตัดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่าง CTH กับ เคเบิลท้องถิ่น และเกิดกรณี ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากทั้ง 2 ฝ่ายในเวลาต่อมา ซึ่งเกมส์นี้คงจะยืดเยื้อไปอีกนาน
นั้นหมายความว่า สมาชิกเคเบิลทีวีของ CTH ที่รับบริการเคเบิลทีวีของ CTH โดยใช้กล่องรับสัญญาณ DVB-C ของ CTH ผ่านโครงข่ายสายเคเบิลของเคเบิลท้องถิ่น จะไม่สามารถรับสัญญาณช่องรายการของ CTH ได้อีกต่อไป เป็นการตัดความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการระหว่าง CTH กับ เคเบิลท้องถิ่น และเกิดกรณี ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากทั้ง 2 ฝ่ายในเวลาต่อมา ซึ่งเกมส์นี้คงจะยืดเยื้อไปอีกนาน
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เคเบิลท้องถิ่นที่ให้บริการสัญญาณ CTH ผ่านกล่องดิจิตอลของ CTH จะต้องติดต่อกับสมาชิกเพื่อให้เปลี่ยนมารับสัญญาณระบบ Analog ของเคเบิลท้องถิ่นต่อไป หรือเคเบิลท้องถิ่นบางรายที่ได้ลงทุนติดตั้งระบบ Digital ไว้แล้ว ก็แจ้งให้สมาชิกเปลี่ยนมารับสัญญาณในระบบ Digital ของเคเบิลท้องถิ่นเอง แต่เนื่องจากมีเวลาเพียง 30 วันในการเปลี่ยนแปลง ความโกลาหนจึงเกิดขึ้นมากพอสมควร
ส่วน CTH เองเมื่อตัดสัญญาณเคเบิลท้องถิ่นแล้ว CTH ก็จะประหยัดค่าใช้จ่ายในการเช่าโครงข่ายสาย Fiber Optic ที่ CTH ไปเช่าจาก Symphony และ TOT ปีละเกือบ 200 ล้านบาท นั้นแสดงว่า สัญญาเช่าสาย Fiber Optic น่าจะครบสัญญา CTH จึงตัดสินใจไม่ต่อสัญญา เพราะ รายได้ที่ CTH ได้จากการให้บริการผ่านโครงข่ายสายเคเบิลของเคเบิลท้องถิ่น น่าจะไม่คุ้มกับค่ากับค่าใช้จ่ายที่ CTH ต้องจ่ายค่าเช่าสาย Fiber Optic จึงต้องปิดสัญญาณเป็นรายแรก และเรียกกล่อง Digital DVB-C จากเคเบิลท้องถิ่นกลับ เพื่อเอากล่อง DVB-C ไปขายต่อให้กับ เคเบิลทีวีที่อินเดีย เพราะกล่อง DVB-C กำลังขาดตลาด จึงเป็นโอกาสที่ CTH จะได้ปล่อยกล่อง Digital ที่ค้างอยู่ในโกดังหลายแสนกล่อง ออกไปให้อินเดียต่อไป
2) ในวันที่ 1 มีนาคม 2559 CTH ประกาศปิดสัญญาณที่ให้บริการผ่าน PSI
นั้นน่าจะหมายความว่า ค่าสมาชิกที่ CTH ได้รับจากสมาชิกที่ใช้จาน PSI ไม่คุ้มกับค่าเช่า Transponder ของดาวเทียมไทยคม เมื่อสัญญาเช่า Transponder ครบกำหนด CTH จึงไม่เช่าต่อ จึงต้องแจ้งตัดสัญญาณ CTH ที่ให้บริการผ่านสมาชิก PSI ส่วนลูกค้าที่จ่ายค่าบริการล่วงหน้าไว้ ก็ต้องตามไปแก้ไขกันต่อไป
นั้นน่าจะหมายความว่า ค่าสมาชิกที่ CTH ได้รับจากสมาชิกที่ใช้จาน PSI ไม่คุ้มกับค่าเช่า Transponder ของดาวเทียมไทยคม เมื่อสัญญาเช่า Transponder ครบกำหนด CTH จึงไม่เช่าต่อ จึงต้องแจ้งตัดสัญญาณ CTH ที่ให้บริการผ่านสมาชิก PSI ส่วนลูกค้าที่จ่ายค่าบริการล่วงหน้าไว้ ก็ต้องตามไปแก้ไขกันต่อไป
3) ในวันที่ 1 สิงหาคม 2559 CTH ประกาศปิดสัญญาณ Ku-Band ที่ให้บริการผ่านดาวเทียม Thaicom
นั้นหมายความว่า สมาชิก CTH ที่รับบริการผ่านกล่อง GMMZ ก็น่าจะไม่คุ้มกับค่า Transponder ที่ CTH เสียค่าเช่า Transponder ให้กับดาวเทียม Thaicom จึงต้องประกาศ ยุติการให้บริการในระบบ Ku Band และเป็นที่มาของปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ว่า CTH จะแก้เกมส์อย่างไร
นั้นหมายความว่า สมาชิก CTH ที่รับบริการผ่านกล่อง GMMZ ก็น่าจะไม่คุ้มกับค่า Transponder ที่ CTH เสียค่าเช่า Transponder ให้กับดาวเทียม Thaicom จึงต้องประกาศ ยุติการให้บริการในระบบ Ku Band และเป็นที่มาของปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ว่า CTH จะแก้เกมส์อย่างไร
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นั้นแสดงว่า หลังจากวันที่ 1 สิงหาคม 2559 สมาชิกที่ต้องการดูเคเบิลทีวีของ CTH จะต้องดูผ่านดาวเทียม Vinasat เพียงช่องทางเดียว โดยการติดตั้ง "จานฟ้า" ของ CTH เท่านั้น นี่คงเป็นคำตอบว่า CTH ยังไม่ปิดกิจการ เพราะยังเปิดให้บริการต่อไป คงต้องรอจนกว่า สัญญาเช่าดาวเทียม Vinasat ของเวียตนาม จะหมดลงเมื่อใด ถึงตอนนั้นคงต้องมาดูว่า CTH จะตัดสินใจอย่างไร กับอนาคตของตนเอง
กสทช. จะออกมาขวาง
ส่วนเรื่องที่ กสทช. ออกมาบอกว่า CTH จะปิดสัญญาณย่าน Ku Band ไม่ได้ จะผิดกฎหมายข้อนั้นข้อนี้ ขอร้องเถอะครับ ก็ CTH เขาขาดทุน งบดุลออกมา 2 ปี (ปี 2556 กับ 2557) ขาดทุนไป 8,000 ล้านบาท หากงบปี 2558 ออกมา ก็น่าจะขาดทุนรวมไม่น้อยกว่า 12,000 ล้านบาท ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา CTH ต้องเปลี่ยนผู้ตรวจสอบบัญชีถึง 3 คน ก็น่าจะเป็นแสดงให้เห็นแล้วว่า CTH มีปัญหามากโขอยู่ เขากำลังหาทางแก้ปัญหาอยู่
การปิดสัญญาณครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก
การประกาศปิดสัญญาณ Ku-Band ที่ให้บริการผ่านดาวเทียม Thaicom ในวันที่ 1 สิงหาคม 2559 นั้น เป็นการปิดสัญญาณครั้งที่ 3 แล้ว และครั้งนี้น่าจะมีคนเดือดร้อนน้อยที่สุด เพราะไม่มี Premier League แล้ว ก่อนหน้านี้มีการปิดไป 2 ระบบคือ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2558 CTH ประกาศยุติการให้บริการผ่านเคเบิลท้องถิ่น และในวันที่ 1 มีนาคม 2559 CTH ประกาศปิดสัญญาณที่ให้บริการผ่านจานดาวเทียม PSI ใน 2 ครั้งที่ผ่านมา มีคนเดือดร้อนมากมาย เพราะจ่ายเงินล่วงหน้าไปแล้ว ไม่ได้ดู Premier League หากจะผิดกฎหมายข้อใด หรือต้องลงโทษอย่างไร กสทช. ก็น่าจะเตือนไปนานแล้ว ครั้งนี้คงไม่ต้องออกข่าวว่าจะเรียกมาเตือนอีก
กสทช. อย่าตามกระแส
หากจะให้คำแนะนำ ก็อยากจะบอกว่า เอกชนเขาขาดทุน เขากำลังจะพยายามลดการขาดทุนลง จึงต้องพยายามลดต้นทุนในทุกช่องทางที่ทำได้ อย่าตามกระแสของนักข่าวนักเลย หากไม่ยอมให้เขาปิด เขาก็จะขาดทุนเพิ่มขึ้นไปอีก จะเป็นการสร้างปัญหาใหม่คือ เขาจะไม่มีเงินไปจ่ายค่า Transponder ให้ Thaicom เท่าที่ผ่านมาก็ไม่รู้ว่ามีหนี้ค้างกันอยู่เท่าไร เดี๋ยวปัญหาจะไปเกิดกับ Thaicom ต่อเป็นลูกโซ่
ทีวีดิจิตอลทางธุรกิจเป็นตัวอย่างมาแล้ว
บางที กสทช. ก็ควรมองในมุมเอกชนบ้าง หากเขาขาดทุน และเขาต้องการปิดกิจการ ก็ควรยอมให้เขาปิดกิจการไปแต่โดยดี จะไปดึงดันให้เขาขาดทุนต่ออยู่ทำไม เหมือนทีวีดิจิตอลทางธุรกิจภาคพื้นดิน เขาอยากปิดกิจการเพราะสู้ไม่ไหว ก็ไม่ยอมให้เขาปิด จะรีดเอาเงินเขาจนทำให้เขาล้มละลายให้ได้ อ้างแต่ข้อกฎหมายที่ตนเป็นคนเขียนขึ้นมา เมื่อเขาแพ้ เขาก็ยอมแพ้แต่โดยดี ทำไมจึงไปดึงดันไม่ให้เขายอมแพ้ การยอมแพ้ของคนหนึ่ง จะทำให้คนที่เหลือมีทางรอดมากขึ้น เป็นการแก้ปัญหาไปในตัวตามหลักการค้าทั่วไป หาก กสทช. หมดหนทางที่จะช่วยเหลือ ก็ควรปล่อยให้เขาตายเร็วๆตามที่เขาต้องการเถอะ อย่ายื้อชีวิตเขา อย่าทรมานเขาต่อไป เพื่อรีดเอาค่ารักษาพยาบาลเขาต่อไปอีกเลย เขาไม่ต้องการจะมีชีวิตอยู่แล้ว ช่วยอนุเคราะห์โดยการปล่อยให้เขาตายโดยสงบเถอะครับ ไม่ต้องรอให้ คสช. ต้องออก ม. 44 เพื่ออนุญาตให้เขาตาย โดยไม่ต้องเอากระดูกเขาไปขายเพื่อมาใช้หนี้เลยครับ
ถึงอย่างไรก็ต้องบาดเจ็บ
ในมุมของ CTH ตั้งแต่ช่วงต้นปี 2558 ก็คงมองเห็นแล้วว่า CTH กำลังจะค่อยๆ Down Scale ลงมาเรื่อยๆ เพื่อลดค่าใช้จ่าย มุมบุกในธุรกิจเคเบิลทีวีคงไม่มีแล้ว เพราะอาวุธที่สำคัญคือ Premier League ก็ไม่มีตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2559 แล้ว อาวุธที่จะไปต่อสู้ในธุรกิจเคเบิลทีวีคงจะหมดแล้ว ในวันนี้เหลือแต่ลิขสิทธิ์จากกลุ่ม Fox ที่ซื้อมา 2,000 ล้านบาท ไม่รู้จะหมดสัญญาเมื่อไร คิดว่า หมดสัญญาเมื่อไร ก็น่าจะถึงเวลาที่ CTH จะต้องปิดกิจการจริงๆเสียที ซึ่งจะเป็นการลงจากหลังเสือ แบบที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสมากพอสมควร แต่การลงทุนเป็นความเสี่ยงที่เอกชนทุกคนเข้าใจ เมื่อมีโอกาสได้มาก ก็มีโอกาสเสียมาก เรื่องนี้ คุณวิชัย ทองแตง ท่านคงเข้าใจ ส่วนกสทช. ก็ควรจะเข้าใจด้วย อย่าเอาแต่อ้างกฎหมายว่าฉันไม่ผิด ฉันทำตามกฎหมายที่ฉันเขียนขึ้นมา
CTH อาจลอกคราบกลายเป็นอย่างอื่นที่ทุกคนคาดไม่ถึงก็ได้
อย่างไรก็ตาม คุณวิชัย ทองแตง คงไม่ทำให้ตนเองเสียชื่อ หรือเสียเหลี่ยมความเป็นมืออาชีพ เชื่อว่าเคเบิลทีวีของ CTH ที่อยู่ในมือ คุณวิชัย น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้บ้าง เช่น เอาไปให้ AIS ใช้เป็นอาวุธ ในกิจการ Internet เพื่อแข่งกับ True Move ที่เอาเคเบิลทีวีของ True Vision ไปแถมในกิจการ Internet ของ True Move เป็นต้น หรือคุณวิชัย อาจมีไม้เด็ดอื่นๆออกมาอีก หลังจากปลดภาระต่างๆของ CTH ออกไปจนหมดแล้วก็เป็นได้ ช่วงนี้ CTH อาจกำลังจะเข้าสู่ภาวะการเป็นดักแด้เพื่อรอเวลาลอกคราบ เพราะเมื่อลอกคราบออกมาแล้ว อาจกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนคาดไม่ถึง เหมือนหนอนกลายเป็นผีเสื้อก็ได้ คอยดูฝีมือคุณวิชัย ทองแตง ในตอนต่อไป...โปรดอย่ากระพริบตา
วันพฤหัสบดีที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
Central Retail Corporation
Central Retail Corporation
เซ็นทรัลเอมบาสซี เซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต, เซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ตตะวันออก, ทอปส์ ซุปเปอร์มาร์เกต, Tritone (อยู่ในประเทศอิตาลี)
บ้านสีลม, สีลมแกลเลอเรีย Jewelry Trade, JJ Market เชียงใหม่
รวมถึงยังมีห้างค้าปลีกขนาดเล็กเช่น Family Mart ด้วย ทางด้าน OfficeMate, PowerBuy, B2S, SuperSports
HomeWorks, Office Depot, ไทยวัสดุ, PageOne (Thailand)
เซ็นทรัลเอมบาสซี เซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ต, เซ็นทรัลเฟสติวัลภูเก็ตตะวันออก, ทอปส์ ซุปเปอร์มาร์เกต, Tritone (อยู่ในประเทศอิตาลี)
บ้านสีลม, สีลมแกลเลอเรีย Jewelry Trade, JJ Market เชียงใหม่
รวมถึงยังมีห้างค้าปลีกขนาดเล็กเช่น Family Mart ด้วย ทางด้าน OfficeMate, PowerBuy, B2S, SuperSports
HomeWorks, Office Depot, ไทยวัสดุ, PageOne (Thailand)
วันจันทร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559
สะดวกซื้อ am pm ถูกศาลล้มละลายสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
สะดวกซื้อ am pm ถูกศาลล้มละลายสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า วันที่ 1 ธันวาคม 2553 " เบญจา สุภานนท์" เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ได้ลงโฆษณา ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ในนสพ. แนวหน้า หน้า 12 ตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.10175/2553 กองบังคับคดีล้มละลาย 5 ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม
ประกาศระบุว่า ด้วยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่ง ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2553 ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ บริษัท เอเอ็ม/พีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ลูกหนี้เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 แล้ว
ลูกหนี้ ประกอบอาชีพจำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 38/105 อาคารไบร์ทตั้นเพลส ซอยศูนย์วิจัย 6 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร
ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483
อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ จะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทย์หรือไม่ก็ตาม ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ที่ผ่ายคำคู่ความ สำนักงานเลขานุการกรม กรมบังคับคดี หรือสำนักงานบังคับคดี ซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งนี้ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 4 มกราคม 2554 ซึ่งตรวจได้จากเว็บไซต์ของกลุ่มงานราชกิจจานุเบกษาที่ www.ratchakitcha.soc.go.th
จากข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท เอเอ็ม/พีเอ็ม (ไทยแลนด์) จดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2533 ทุนจดทะเบียนในปัจจุบัน 300,000,000 บาท
ที่ตั้ง 38/105 อาคารไบรท์ตั้น ซอยศูนย์วิจัย 6 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320 และ อาคารบ้านฉางกลาสเฮ้าส์ ถ.สุขุมวิท 25 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
กรรมการบริษัท ประกอบด้วย
ผู้สื่อข่าว รายงานว่า วันที่ 1 ธันวาคม 2553 " เบญจา สุภานนท์" เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ได้ลงโฆษณา ประกาศเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เรื่อง คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ในนสพ. แนวหน้า หน้า 12 ตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.10175/2553 กองบังคับคดีล้มละลาย 5 ศาลล้มละลายกลาง กรมบังคับคดี กระทรวงยุติธรรม
ประกาศระบุว่า ด้วยธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) เจ้าหนี้ผู้เป็นโจทก์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลล้มละลายกลางขอให้ลูกหนี้ล้มละลาย และศาลได้มีคำสั่ง ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2553 ให้พิทักษ์ทรัพย์ของ บริษัท เอเอ็ม/พีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ลูกหนี้เด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 แล้ว
ลูกหนี้ ประกอบอาชีพจำหน่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ฯลฯ มีสำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 38/105 อาคารไบร์ทตั้นเพลส ซอยศูนย์วิจัย 6 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร
ดังนั้น นับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียว มีอำนาจจัดการเกี่ยวกับกิจการและทรัพย์สินของลูกหนี้ ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483
อนึ่ง เจ้าหนี้ซึ่งจะขอรับชำระหนี้ในคดีนี้ จะเป็นเจ้าหนี้ผู้เป็นโจทย์หรือไม่ก็ตาม ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ที่ผ่ายคำคู่ความ สำนักงานเลขานุการกรม กรมบังคับคดี หรือสำนักงานบังคับคดี ซึ่งลูกหนี้มีภูมิลำเนาอยู่ ภายในกำหนดเวลา 2 เดือน นับแต่วันโฆษณาคำสั่งนี้ และเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้กำหนดวันลงโฆษณาในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ 4 มกราคม 2554 ซึ่งตรวจได้จากเว็บไซต์ของกลุ่มงานราชกิจจานุเบกษาที่ www.ratchakitcha.soc.go.th
จากข้อมูล กรมพัฒนาธุรกิจ กระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า บริษัท เอเอ็ม/พีเอ็ม (ไทยแลนด์) จดทะเบียนเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2533 ทุนจดทะเบียนในปัจจุบัน 300,000,000 บาท
ที่ตั้ง 38/105 อาคารไบรท์ตั้น ซอยศูนย์วิจัย 6 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10320 และ อาคารบ้านฉางกลาสเฮ้าส์ ถ.สุขุมวิท 25 แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110
กรรมการบริษัท ประกอบด้วย
1. นาย ฮิโรชิ โซฮาร่า
2. นาย เจตต์ คุณเวช
3. นาย สมิธิ โมรากุล
4. นาย พิทักษ์ สมพงษ์
5. นาย กรวิชช์ วังเสาวภาคย์
6. นาย ไกวัล ชุ่มวัฒนะ
7. นาย ธนันต์ สืบศิริ
7. นาย ธนันต์ สืบศิริ
8. นาย วิศิษฎ์ ศิริเวชวราวุธ
ผู้ถือหุ้นใหญ่ ประกอบด้วย
1. นาย บุญมา สำมะนิด 32.5700% ถือหุ้น 977,000 2. เวิลด์โฟน ช็อป จำกัด 16.8200% ถือหุ้น 504,500
3. พี แอนด์ เอ โฮลดิ้งส์ จำกัด 12.5200% ถือหุ้น 375,700 4. นพกิจรวมทุน จำกัด 8.4600% ถือหุ้น 253,8005. บริษัท เจเอไอซี นิปปอน จำกัด 4.7700% ถือหุ้น 143,000 6. บริษัท เจเอไอซี นิปปอน จำกัด 4.7700% ถือหุ้น 143,000 7. นาง ดิศพงศ์เพ็ญศิริ สุทธิธานี 4.5000% ถือหุ้น 135,000 8. วีเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด 2.8000% ถือหุ้น 83,9709. นาย สหัสโรจน์ โรจน์เมธา 2.0000% ถือหุ้น 60,000
ผู้ถือหุ้นใหญ่ ประกอบด้วย
1. นาย บุญมา สำมะนิด 32.5700% ถือหุ้น 977,000 2. เวิลด์โฟน ช็อป จำกัด 16.8200% ถือหุ้น 504,500
3. พี แอนด์ เอ โฮลดิ้งส์ จำกัด 12.5200% ถือหุ้น 375,700 4. นพกิจรวมทุน จำกัด 8.4600% ถือหุ้น 253,8005. บริษัท เจเอไอซี นิปปอน จำกัด 4.7700% ถือหุ้น 143,000 6. บริษัท เจเอไอซี นิปปอน จำกัด 4.7700% ถือหุ้น 143,000 7. นาง ดิศพงศ์เพ็ญศิริ สุทธิธานี 4.5000% ถือหุ้น 135,000 8. วีเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด 2.8000% ถือหุ้น 83,9709. นาย สหัสโรจน์ โรจน์เมธา 2.0000% ถือหุ้น 60,000
10. นาย โสภณ ดีสิทธิ์ 2.0000% ถือหุ้น 60,000 11. นาง สุณี ทวิบุตร 1.6700% ถือหุ้น 50,000
ข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจ ระบุว่า ผลประกอบการของบริษัท เอเอ็ม/พีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัดในปี 2540 ขาดทุนสุทธิ 91ล้าน ปี 2541 ขาดทุนสุทธิ 163.6 ล้าน
ทั้งนี้ ความเป็นมาของ เอเอ็ม/พีเอ็ม เกิดขึ้นเมื่อ นักธุรกิจไทยกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันซื้อสิทธิประกอบการ (แฟรนไชส์) จาก บริษัท แอตแลนติค ริชฟิลด์ จำกัด (อาร์โก้) สหรัฐอเมริกา จัดตั้งบริษัท เอเอ็ม/พีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ในปี 2533 ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท
เอเอ็ม/พีเอ็มประสบทั้งปัญหาการแข่งขัน การขยายสาขาไม่เป็นไปตามแผน การปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นมาสู่ไม้สอง เมื่อกลุ่มยูคอมเข้ามาถือหุ้น 60% ด้วยสาขาประมาณ 260 แห่งทั่วประเทศ ให้บริษัท เวิลด์โฟน ช็อป จำกัด เป็นผู้บริหารประมาณ 70 แห่ง ที่เหลือเป็นสาขาอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ที่บริหารโดย บริษัท ปตท.มาร์ท จำกัด
ครั้งนั้น ยูคอม ตัดสิดใจรับกิจการเอเอ็ม/พีเอ็มมาหวังใช้เป็นฐานกระจายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในมือ แต่ด้วยความไม่สันทัดของทีมผู้บริหารที่หมุนเวียนกันเข้ามาพยายามปลุกความเคลื่อนไหวให้เอเอ็ม/พีเอ็มแต่ไม่สำเร็จ ต้นทุนจากค่าสิทธิในการประกอบการ ภาระหนักอึ้งถูกแก้ปัญหาด้วยการขอยกเลิกสิทธิกับบริษัท แอตแลนติค ริชฟิลด์ จำกัด (อาร์โก้) สหรัฐอเมริกา แล้วเปลี่ยนมาเป็นรักบ้านเกิดที่หวังพลังไทยช่วยไทยใต้กระแสต่อต้านค้าปลีกข้ามชาติ ในช่วงเวลานั้นสร้างมูลค่าให้กับตัวธุรกิจ...ขยับไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องล้มลง จนกระทั่งเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารยูคอมจำต้องประกาศรับสภาพรัฐนาวาที่ไปไม่รอดล้างมือออกจากวงการคอนวีเนียนสโตร์
ข้อมูลจาก กรมพัฒนาธุรกิจ ระบุว่า ผลประกอบการของบริษัท เอเอ็ม/พีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัดในปี 2540 ขาดทุนสุทธิ 91ล้าน ปี 2541 ขาดทุนสุทธิ 163.6 ล้าน
ทั้งนี้ ความเป็นมาของ เอเอ็ม/พีเอ็ม เกิดขึ้นเมื่อ นักธุรกิจไทยกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันซื้อสิทธิประกอบการ (แฟรนไชส์) จาก บริษัท แอตแลนติค ริชฟิลด์ จำกัด (อาร์โก้) สหรัฐอเมริกา จัดตั้งบริษัท เอเอ็ม/พีเอ็ม (ไทยแลนด์) จำกัด ในปี 2533 ด้วยทุนจดทะเบียน 150 ล้านบาท
เอเอ็ม/พีเอ็มประสบทั้งปัญหาการแข่งขัน การขยายสาขาไม่เป็นไปตามแผน การปรับเปลี่ยนโครงสร้างผู้ถือหุ้นมาสู่ไม้สอง เมื่อกลุ่มยูคอมเข้ามาถือหุ้น 60% ด้วยสาขาประมาณ 260 แห่งทั่วประเทศ ให้บริษัท เวิลด์โฟน ช็อป จำกัด เป็นผู้บริหารประมาณ 70 แห่ง ที่เหลือเป็นสาขาอยู่ในสถานีบริการน้ำมัน ปตท. ที่บริหารโดย บริษัท ปตท.มาร์ท จำกัด
ครั้งนั้น ยูคอม ตัดสิดใจรับกิจการเอเอ็ม/พีเอ็มมาหวังใช้เป็นฐานกระจายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในมือ แต่ด้วยความไม่สันทัดของทีมผู้บริหารที่หมุนเวียนกันเข้ามาพยายามปลุกความเคลื่อนไหวให้เอเอ็ม/พีเอ็มแต่ไม่สำเร็จ ต้นทุนจากค่าสิทธิในการประกอบการ ภาระหนักอึ้งถูกแก้ปัญหาด้วยการขอยกเลิกสิทธิกับบริษัท แอตแลนติค ริชฟิลด์ จำกัด (อาร์โก้) สหรัฐอเมริกา แล้วเปลี่ยนมาเป็นรักบ้านเกิดที่หวังพลังไทยช่วยไทยใต้กระแสต่อต้านค้าปลีกข้ามชาติ ในช่วงเวลานั้นสร้างมูลค่าให้กับตัวธุรกิจ...ขยับไปได้เพียงไม่กี่ก้าวก็ต้องล้มลง จนกระทั่งเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ผู้บริหารยูคอมจำต้องประกาศรับสภาพรัฐนาวาที่ไปไม่รอดล้างมือออกจากวงการคอนวีเนียนสโตร์
ทศท.สร้างพันธมิตรทางธุรกิจกับ 3 บริษัทเพื่อส่งเสริมการขายตลาดบัตรโทรศัพท์
พฤหัสบดีที่ 25 พฤษภาคม 2543 18:44:20 น.
กรุงเทพฯ--25 พ.ค.--ทศท.
องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยขยายตลาดบัตรโทรศัพท์ แต่งตั้ง 3 บริษัทจำหน่าย TOT CARD และ PIN PHONE 108 เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ซื้อ
นายธงชัย ยงเจริญ และนายวิทู รักษ์วนิชพงษ์ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หรือ ทศท. ร่วมลงนามในสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายบัตรโทรศัพท์ TOT CARD และ PIN PHONE 108 กับนายพิทยา เจีย รองประธานกรรมการบริหารบริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด ( มหาชน ) นายวิสิทธิ์ คุณนิรันดร ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เวิล์ดโฟน ช็อป จำกัด และ แพทย์หญิง นลินี ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้เครื่องหมายกิฟฟารีน ณ ห้องประชุมองค์การโทรศัพท์ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ
จากการที่ ทศท. ได้ให้บริการบัตรโทรศัพท์ PIN PHONE 108 มาตั้งแต่ปี 2539 และ TOT CARD มาตั้งแต่ปี 2541 นั้น การให้บริการดังกล่าวได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายจุดจำหน่ายให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกในการซื้อบัตรโทรศัพท์มากขึ้น ทศท. จึงได้แต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายจากภาคเอกชน 3 บริษัท คือ บริษัท ซี พี. เซเว่น อีเลฟเว่น จำกัด ( มหาชน ) ซึ่งมีสาขากว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ บริษัท เวิล์ดโฟน ช็อป จำกัด มีเครือข่ายร้าน AM/PM กว่า 500 สาขา และบริษัทสกายไลน์ ยูนิตี้ ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงชั้นนำมีจำนวนสมาชิกเกือบ 2 ล้านรหัส การขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังคู่สัญญาทั้ง 3 บริษัท นอกจากจะเป็นการสร้างสัมพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อขยายโอกาสในการดำเนินธุรกิจร่วมกันในอนาคตแล้ว ยังถือเป็นนโยบายขององค์การโทรศัพท์ฯ ในการพัฒนาการให้บริการแก่ประชาชนให้ได้รับความสะดวกมากขึ้น--จบ--
กรุงเทพฯ--25 พ.ค.--ทศท.
องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทยขยายตลาดบัตรโทรศัพท์ แต่งตั้ง 3 บริษัทจำหน่าย TOT CARD และ PIN PHONE 108 เพื่อเพิ่มความสะดวกให้กับผู้ซื้อ
นายธงชัย ยงเจริญ และนายวิทู รักษ์วนิชพงษ์ ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวยการองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย หรือ ทศท. ร่วมลงนามในสัญญาแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายบัตรโทรศัพท์ TOT CARD และ PIN PHONE 108 กับนายพิทยา เจีย รองประธานกรรมการบริหารบริษัท ซี.พี. เซเว่นอีเลฟเว่น จำกัด ( มหาชน ) นายวิสิทธิ์ คุณนิรันดร ผู้อำนวยการอาวุโส บริษัท เวิล์ดโฟน ช็อป จำกัด และ แพทย์หญิง นลินี ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ ภายใต้เครื่องหมายกิฟฟารีน ณ ห้องประชุมองค์การโทรศัพท์ ฯ ถนนแจ้งวัฒนะ
จากการที่ ทศท. ได้ให้บริการบัตรโทรศัพท์ PIN PHONE 108 มาตั้งแต่ปี 2539 และ TOT CARD มาตั้งแต่ปี 2541 นั้น การให้บริการดังกล่าวได้รับความนิยมจากผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก ดังนั้นเพื่อเป็นการขยายจุดจำหน่ายให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวกในการซื้อบัตรโทรศัพท์มากขึ้น ทศท. จึงได้แต่งตั้งผู้แทนจำหน่ายจากภาคเอกชน 3 บริษัท คือ บริษัท ซี พี. เซเว่น อีเลฟเว่น จำกัด ( มหาชน ) ซึ่งมีสาขากว่า 1,300 แห่งทั่วประเทศ บริษัท เวิล์ดโฟน ช็อป จำกัด มีเครือข่ายร้าน AM/PM กว่า 500 สาขา และบริษัทสกายไลน์ ยูนิตี้ ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน ซึ่งเป็นบริษัทขายตรงชั้นนำมีจำนวนสมาชิกเกือบ 2 ล้านรหัส การขยายช่องทางการจำหน่ายไปยังคู่สัญญาทั้ง 3 บริษัท นอกจากจะเป็นการสร้างสัมพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อขยายโอกาสในการดำเนินธุรกิจร่วมกันในอนาคตแล้ว ยังถือเป็นนโยบายขององค์การโทรศัพท์ฯ ในการพัฒนาการให้บริการแก่ประชาชนให้ได้รับความสะดวกมากขึ้น--จบ--
วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559
อ.วรธนัท อัศกุลโกวิท
เรียกได้ว่าถ้าเอ่ยชื่อ "มิสเตอร์หม่า" ผู้คนในแวดวงที่สนใจศาสตร์ของ "ฮวงจุ้ย" น้อยคนนักที่จะไม่รู้จัก เพราะ "มิสเตอร์หม่า" หรือ "อาจารย์วรธนัท (ณรงค์) อัศกุลโกวิท" คร่ำหวอดอยู่ในวงการนี้มากว่า 30 ปี และได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษาและทำฮวงจุ้ยให้แก่บริษัท ห้าง ร้าน ธนาคาร และสถานที่ราชการในต่างประเทศ ตั้งแต่ฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย กระทั่งอังกฤษ และ แคนาดา แถมยังเป็นปรมาจารย์แห่งวิชาฮวงจุ้ย 1 ใน 3 ของโลกอีกด้วย และหลังจากรายการฟ้าเมืองไทย เชิญ อาจารย์วรธนัท มาร่วมพูดคุยสอนเทคนิคพื้นฐานในการดูฮวงจุ้ยที่อยู่อาศัย พร้อมๆ กับเผยถึงสถานการณ์การเมือง ภัยธรรมชาติ และเศรษฐกิจที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าให้ฟังกัน ทำเอาใครหลายๆ คนอยากรู้จัก อาจารย์วรธนัท ให้มากขึ้น วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาไปสัมผัสตัวตนของ อาจารย์วรธนัท กันค่ะ...
อาจารย์วรธนัท อัศกุลโกวิท หรือ มิสเตอร์หม่า มีชื่อเดิมว่า "ณรงค์" สาเหตุที่เปลี่ยนเพราะชีวิตจะดีกว่าเดิม เนื่องจากคำว่า วรธนัท แปลว่า ผู้ร่ำรวยมหาศาล อาจารย์วรธนัท เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม 2484 ปัจจุบันอายุ 67 ปี เป็นคนจังหวัดเพชรบุรี เชื้อสายจีน มีพี่น้องทั้งหมด 11 คน แต่เสียชีวิตหมดแล้ว ขณะนี้เหลือแต่ อาจารย์วรธนัท ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว โดยอาจารย์วรธนัทนั้นสำเร็จการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ส่วนวิชาฮวงจุ้ย อาจารย์วรธนัท ได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณพ่อ
"ตระกูลผมเป็นคนเซี่ยงไฮ้ ศึกษาวิชาฮวงจุ้ยแบบถ่ายทอดกันมา คือตอนสมัยสงครามที่จีนแดงบุก คุณปู่เป็นทหารในระดับจอมพลคนหนึ่งของเจียง ไค เช็ค คุณปู่เขาเป็นทหารเลยรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร ก็บอกให้ลูกหลานอพยพไปยังที่ต่างๆ บางคนไปอยู่อเมริกา บางคนไปอยู่อังกฤษ บางคนไปอยู่มาเลเซีย ส่วนสายของผมมาอยู่ที่เมืองไทย ผมจึงเกิดและเติบโตในประเทศไทย คุณปู่เป็นผู้ที่มีความรู้ในศาสตร์วิชาฮวงจุ้ยที่เรียกว่า "เต๋าหมวกดำ" เป็นอย่างดี ซึ่งศาสตร์ฮวงจุ้ยเต๋าหมวกดำนี้ถือเป็นศาสตร์ชั้นสูง และจะถ่ายทอดเฉพาะจักรพรรดิและขุนนางจีนชั้นสูงเท่านั้น คุณปู่ถ่ายทอดวิชาให้คุณพ่อ ผมได้รับการถ่ายทอดจากคุณพ่ออีกที และตัวผมเองเดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมที่ประเทศจีนบ้าง ทิเบตบ้าง อินเดียบ้าง เป็นเวลานานกว่า 30 ปี และยังได้เดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมทั้งในพม่า มอญ เขมร รวมถึงศึกษาเรื่องราวของพุทธประวัติและพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ" ปรมาจารย์ แห่งวิชาฮวงจุ้ย กล่าว
อาจารย์วรธนัท กล่าวอีกว่า ผมรู้สึกชอบและไม่เคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย เรื่องสมาธิก็เรียนมาตั้งแต่ 5 ขวบ เพราะลุงชอบพาไปวัด มีอยู่วันไปเห็นหลวงปู่ทวด (วัดช้างให้) ถ้าพูดไปจะหาว่าเว่อร์ ผมศรัทธาหลวงปู่ทวดมาก ก็เคยเลียนแบบท่านั่งสมาธิของท่านเวลาทำสมาธิ สักวันสองวันก็เกิดนิมิตว่าท่านมาสอนเรื่องสมาธิ ผมว่ามันมีเหตุที่ทำให้เชื่อเรื่องพวกนี้เยอะแยะ เช่นทุกครั้งที่นึกถึงจะมีกลิ่นหอมลอยมา กลิ่นหอมที่บอกไม่ถูก ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ธูปเทียนแน่นอน
แต่กว่าที่ อาจารย์วรธนัท จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก อาจารย์วรธนัท ต้องศึกษาค้นคว้าและตระเวนไปเรียนมาแล้วหลายประเทศ ซึ่ง อาจารย์วรธนัท เล่าว่า ผมเรียนเรื่องพลังตอนอายุ 13 ปี พอช่วงเวลาปิดเทอมแม่ก็จะพาไปเรียนที่ประเทศฮ่องกงกับจีน แต่หลังจากจบมหาวิทยาลัยก็ยาวเลย ไปอยู่ฮ่องกงไปเรียนวิชาฮวงจุ้ย จากนั้นไปต่อที่กวางตุ้ง แล้วไปปักกิ่ง เรียนวิชาต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของพลังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายใน รำมวย ฝังเข็ม อะไรที่เป็นศาสตร์เกี่ยวกับพลังเรียนหมด ตระเวนเรียนกับอาจารย์ที่ความรู้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามหาอาจารย์ไปเรื่อยๆ พออายุสัก 18-19 ค่อยเริ่มเดินทางไปประเทศทิเบต ในแวดวงเขาจะรู้กันว่าถ้าเรื่องจิตเรื่องพลัง เรื่องเวทมนตร์ต้องไปทิเบต เพราะสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่โน่นทำให้คนจิตเข้มแข็ง แต่วิชาพวกนี้เราต้องเรียนตลอด ปัจจุบันก็ยังเดินทางไปตามหาวิชา ตามหาที่เรียนอยู่ ถ้ามีที่ไหนก็ไปทดสอบดูว่าน่าสนใจไหม เพราะเรื่องพวกนี้มันไม่ตายตัว ไม่ได้เป็นสถาบัน เราต้องสืบเองว่าที่ไหนมีคนเก่งก็ตามไปเรียน วิชาพวกนี้บางทีมันแปลกกว่าอย่างอื่น บางทีมันอยู่ในชาวบ้านธรรมดา บางทีอยู่กับพระ เราก็ไปสมัครไปขอเรียน ถ้าถูกอัธยาศัย เขาก็ให้
ซึ่งหลังจากที่ อาจารย์วรธนัท สะสมประสบการณ์ และวิชาความรู้มากพอควรแล้ว อาจารย์วรธนัท ก็เริ่มดูฮวงจุ้ย รวมถึงดูเรื่องปราบผี เรื่องเจ็บป่วย คนหาย ฯลฯ ให้กับคนอื่นๆ จนกลายมาเป็นแบบปากต่อปาก คนก็เริ่มเข้ามาหาอาจารย์เรื่อยๆ ส่วนชื่อเสียงระดับอินเตอร์ในการทำฮวงจุ้ยนั้น อาจารย์วรธนัท เล่าว่า มันเริ่มจากญาติที่ฮ่องกงและที่จีนก่อน บรรดาญาติของผมเขาเป็นหมอฮวงจุ้ยที่อยู่ในวงการของดารา นักการเมือง เวลาเราไปเขาจะแนะนำให้เรารู้จัก ให้เราทำ พอทำสำเร็จก็บอกต่อๆ กัน แพร่ขยายมาถึงเมืองไทย มีดาราคนไทย นักการเมืองคนไทย มาขอความช่วยเหลือ แล้วพอทำสำเร็จได้ผลดี เขาก็เอาไปพูดต่อกันไป
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย อาจารย์วรธนัท บอกว่า ถ้าเป็นคนไทยไม่มีฟรีหมด การทำให้คนอื่นถือว่าทำบุญ คนมาขอความช่วยเหลือก็ช่วยไป ถือว่าทำบุญกับคนไทยด้วยกัน แต่ถ้าไปทำให้ต่างประเทศค่าตัวผมวันละล้าน คือมันเป็นค่าตัวมาตรฐานเมืองนอก อย่างฮ่องกงนี่มาตรฐานเขา 3 ชั่วโมง 80,000 เหรียญ หรือราว 400,000 บาท ถ้าผมอยู่ต่างประเทศก็ถือว่าทำเป็นอาชีพนะ แต่ถ้ามาทำในประเทศไทย เช่น ทำเนียบรัฐบาล สภา สนามม้า สนามบินสุวรรณภูมิ อันนี้ฟรีไม่ได้สักแดง เพราะถือว่าทำบุญ แต่ถ้าเป็นเอกชนไม่ฟรีนะครับ เพราะเราเอาเงินไปช่วยคนต่อ เอาเงินใส่ซองไปสร้างสะพาน สร้างวัด
ผลงานการดูฮวงจุ้ยของ อาจารย์วรธนัท ระดับประเทศมีมากมาย เช่น เอ็นเนอยี่ คอมเพล็กซ์ สนามม้านางเลิ้ง ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม ตึกใหม่ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และสนามบินสุวรรณภูมิ ฯลฯ
"ผมเป็นคนขอเข้าไปทำฮวงจุ้ยให้ทำเนียบรัฐบาล ตอนที่ พล.อ.สนธิ ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ทำการรัฐประหาร เพราะเห็นว่าเป็นปัญหามาก จากนั้นก็มีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนามม้านางเลิ้ง กระทรวงการคลัง ส่วนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขาจะทำสนามบินให้เสร็จเพื่อประกาศความสำเร็จ แต่จะทำยังไงงานก็ไม่เดิน มีปัญหาในนั้นทุกหน่วยงาน ผมก็ไปแก้ให้ พอผ่านไป 3 วันงานทุกอย่างเป็นไปตามเป้า หรือเรื่องปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม ผมก็ไปทำพิธีสลายให้ เราต้องหลบซ่อนทำพิธีเลยนะนั่น ยังมีอีก กองบัญชาการทหารสูงสุด สยามพารากอน โรงแรมทวินโลตัส จังหวัดนครศรีธรรมราช กาสิโนที่มาเก๊า ปอยเปต แม้แต่ที่มาเลเซีย ผมไปแก้ให้หมด ส่วนมากแล้วพวกนี้ผิดที่โครงสร้างซึ่งแต่ละที่ไม่เหมือนกัน หรือศาลหลักเมือง ที่สนามหลวง ในทางฮวงจุ้ยถือว่าสกปรก เพราะมีแต่คนไปกราบไหว้ ไปบนบาน ไม่มีใครไปทำความสะอาด ทั้งบ้านทั้งเมืองจึงเดือดร้อน เพราะศาลพระภูมิบ้านสกปรก เราก็ไปทำพิธีให้ เรื่องแบบนี้พูดไปคนไม่เข้าใจหรอก" อาจารย์วรธนัท
อย่างไรก็ตามเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์นี้ อยู่ที่ความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละคน อาจารย์วรธนัท เองก็บอกว่า มันเป็นเรื่องบุญกรรมและวาสนาของแต่ละคน เคยมีคนหาว่าที่ผมทำเป็นการแหกตา ซึ่งผมก็คงไปว่าอะไรไม่ได้ ก็แล้วแต่จะคิด คนมีโอกาสที่จะเข้าใกล้หรือไม่เข้าใกล้ ได้เห็นหรือไม่ได้เห็น ก็ต้องแล้วแต่ เราไม่ยุ่ง เราไม่สนใจ ผมเองจะทำหน้าที่นี้ต่อไปอีก 12 ปีแล้วก็พัก ที่อยู่ทุกวันนี้อยู่เพื่อช่วยคน สวดมนต์ ไหว้พระ รักษาศีล ผมจะอยู่เท่าที่จะสามารถทำได้
อาจารย์วรธนัท อัศกุลโกวิท หรือ มิสเตอร์หม่า มีชื่อเดิมว่า "ณรงค์" สาเหตุที่เปลี่ยนเพราะชีวิตจะดีกว่าเดิม เนื่องจากคำว่า วรธนัท แปลว่า ผู้ร่ำรวยมหาศาล อาจารย์วรธนัท เกิดวันที่ 15 พฤษภาคม 2484 ปัจจุบันอายุ 67 ปี เป็นคนจังหวัดเพชรบุรี เชื้อสายจีน มีพี่น้องทั้งหมด 11 คน แต่เสียชีวิตหมดแล้ว ขณะนี้เหลือแต่ อาจารย์วรธนัท ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียว โดยอาจารย์วรธนัทนั้นสำเร็จการศึกษาจากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ส่วนวิชาฮวงจุ้ย อาจารย์วรธนัท ได้รับการถ่ายทอดมาจากคุณพ่อ
"ตระกูลผมเป็นคนเซี่ยงไฮ้ ศึกษาวิชาฮวงจุ้ยแบบถ่ายทอดกันมา คือตอนสมัยสงครามที่จีนแดงบุก คุณปู่เป็นทหารในระดับจอมพลคนหนึ่งของเจียง ไค เช็ค คุณปู่เขาเป็นทหารเลยรู้ว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างไร ก็บอกให้ลูกหลานอพยพไปยังที่ต่างๆ บางคนไปอยู่อเมริกา บางคนไปอยู่อังกฤษ บางคนไปอยู่มาเลเซีย ส่วนสายของผมมาอยู่ที่เมืองไทย ผมจึงเกิดและเติบโตในประเทศไทย คุณปู่เป็นผู้ที่มีความรู้ในศาสตร์วิชาฮวงจุ้ยที่เรียกว่า "เต๋าหมวกดำ" เป็นอย่างดี ซึ่งศาสตร์ฮวงจุ้ยเต๋าหมวกดำนี้ถือเป็นศาสตร์ชั้นสูง และจะถ่ายทอดเฉพาะจักรพรรดิและขุนนางจีนชั้นสูงเท่านั้น คุณปู่ถ่ายทอดวิชาให้คุณพ่อ ผมได้รับการถ่ายทอดจากคุณพ่ออีกที และตัวผมเองเดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมที่ประเทศจีนบ้าง ทิเบตบ้าง อินเดียบ้าง เป็นเวลานานกว่า 30 ปี และยังได้เดินทางไปศึกษาเพิ่มเติมทั้งในพม่า มอญ เขมร รวมถึงศึกษาเรื่องราวของพุทธประวัติและพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ" ปรมาจารย์ แห่งวิชาฮวงจุ้ย กล่าว
อาจารย์วรธนัท กล่าวอีกว่า ผมรู้สึกชอบและไม่เคยสงสัยเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เลย เรื่องสมาธิก็เรียนมาตั้งแต่ 5 ขวบ เพราะลุงชอบพาไปวัด มีอยู่วันไปเห็นหลวงปู่ทวด (วัดช้างให้) ถ้าพูดไปจะหาว่าเว่อร์ ผมศรัทธาหลวงปู่ทวดมาก ก็เคยเลียนแบบท่านั่งสมาธิของท่านเวลาทำสมาธิ สักวันสองวันก็เกิดนิมิตว่าท่านมาสอนเรื่องสมาธิ ผมว่ามันมีเหตุที่ทำให้เชื่อเรื่องพวกนี้เยอะแยะ เช่นทุกครั้งที่นึกถึงจะมีกลิ่นหอมลอยมา กลิ่นหอมที่บอกไม่ถูก ไม่ใช่กลิ่นดอกไม้ธูปเทียนแน่นอน
แต่กว่าที่ อาจารย์วรธนัท จะมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก อาจารย์วรธนัท ต้องศึกษาค้นคว้าและตระเวนไปเรียนมาแล้วหลายประเทศ ซึ่ง อาจารย์วรธนัท เล่าว่า ผมเรียนเรื่องพลังตอนอายุ 13 ปี พอช่วงเวลาปิดเทอมแม่ก็จะพาไปเรียนที่ประเทศฮ่องกงกับจีน แต่หลังจากจบมหาวิทยาลัยก็ยาวเลย ไปอยู่ฮ่องกงไปเรียนวิชาฮวงจุ้ย จากนั้นไปต่อที่กวางตุ้ง แล้วไปปักกิ่ง เรียนวิชาต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องของพลังทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นกำลังภายใน รำมวย ฝังเข็ม อะไรที่เป็นศาสตร์เกี่ยวกับพลังเรียนหมด ตระเวนเรียนกับอาจารย์ที่ความรู้สูงขึ้นเรื่อยๆ ตามหาอาจารย์ไปเรื่อยๆ พออายุสัก 18-19 ค่อยเริ่มเดินทางไปประเทศทิเบต ในแวดวงเขาจะรู้กันว่าถ้าเรื่องจิตเรื่องพลัง เรื่องเวทมนตร์ต้องไปทิเบต เพราะสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่โน่นทำให้คนจิตเข้มแข็ง แต่วิชาพวกนี้เราต้องเรียนตลอด ปัจจุบันก็ยังเดินทางไปตามหาวิชา ตามหาที่เรียนอยู่ ถ้ามีที่ไหนก็ไปทดสอบดูว่าน่าสนใจไหม เพราะเรื่องพวกนี้มันไม่ตายตัว ไม่ได้เป็นสถาบัน เราต้องสืบเองว่าที่ไหนมีคนเก่งก็ตามไปเรียน วิชาพวกนี้บางทีมันแปลกกว่าอย่างอื่น บางทีมันอยู่ในชาวบ้านธรรมดา บางทีอยู่กับพระ เราก็ไปสมัครไปขอเรียน ถ้าถูกอัธยาศัย เขาก็ให้
ซึ่งหลังจากที่ อาจารย์วรธนัท สะสมประสบการณ์ และวิชาความรู้มากพอควรแล้ว อาจารย์วรธนัท ก็เริ่มดูฮวงจุ้ย รวมถึงดูเรื่องปราบผี เรื่องเจ็บป่วย คนหาย ฯลฯ ให้กับคนอื่นๆ จนกลายมาเป็นแบบปากต่อปาก คนก็เริ่มเข้ามาหาอาจารย์เรื่อยๆ ส่วนชื่อเสียงระดับอินเตอร์ในการทำฮวงจุ้ยนั้น อาจารย์วรธนัท เล่าว่า มันเริ่มจากญาติที่ฮ่องกงและที่จีนก่อน บรรดาญาติของผมเขาเป็นหมอฮวงจุ้ยที่อยู่ในวงการของดารา นักการเมือง เวลาเราไปเขาจะแนะนำให้เรารู้จัก ให้เราทำ พอทำสำเร็จก็บอกต่อๆ กัน แพร่ขยายมาถึงเมืองไทย มีดาราคนไทย นักการเมืองคนไทย มาขอความช่วยเหลือ แล้วพอทำสำเร็จได้ผลดี เขาก็เอาไปพูดต่อกันไป
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่าย อาจารย์วรธนัท บอกว่า ถ้าเป็นคนไทยไม่มีฟรีหมด การทำให้คนอื่นถือว่าทำบุญ คนมาขอความช่วยเหลือก็ช่วยไป ถือว่าทำบุญกับคนไทยด้วยกัน แต่ถ้าไปทำให้ต่างประเทศค่าตัวผมวันละล้าน คือมันเป็นค่าตัวมาตรฐานเมืองนอก อย่างฮ่องกงนี่มาตรฐานเขา 3 ชั่วโมง 80,000 เหรียญ หรือราว 400,000 บาท ถ้าผมอยู่ต่างประเทศก็ถือว่าทำเป็นอาชีพนะ แต่ถ้ามาทำในประเทศไทย เช่น ทำเนียบรัฐบาล สภา สนามม้า สนามบินสุวรรณภูมิ อันนี้ฟรีไม่ได้สักแดง เพราะถือว่าทำบุญ แต่ถ้าเป็นเอกชนไม่ฟรีนะครับ เพราะเราเอาเงินไปช่วยคนต่อ เอาเงินใส่ซองไปสร้างสะพาน สร้างวัด
ผลงานการดูฮวงจุ้ยของ อาจารย์วรธนัท ระดับประเทศมีมากมาย เช่น เอ็นเนอยี่ คอมเพล็กซ์ สนามม้านางเลิ้ง ทำเนียบรัฐบาล กระทรวงการคลัง กระทรวงกลาโหม ตึกใหม่ของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) และสนามบินสุวรรณภูมิ ฯลฯ
"ผมเป็นคนขอเข้าไปทำฮวงจุ้ยให้ทำเนียบรัฐบาล ตอนที่ พล.อ.สนธิ ประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ทำการรัฐประหาร เพราะเห็นว่าเป็นปัญหามาก จากนั้นก็มีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สนามม้านางเลิ้ง กระทรวงการคลัง ส่วนที่สนามบินสุวรรณภูมิ ตอนนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เขาจะทำสนามบินให้เสร็จเพื่อประกาศความสำเร็จ แต่จะทำยังไงงานก็ไม่เดิน มีปัญหาในนั้นทุกหน่วยงาน ผมก็ไปแก้ให้ พอผ่านไป 3 วันงานทุกอย่างเป็นไปตามเป้า หรือเรื่องปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม ผมก็ไปทำพิธีสลายให้ เราต้องหลบซ่อนทำพิธีเลยนะนั่น ยังมีอีก กองบัญชาการทหารสูงสุด สยามพารากอน โรงแรมทวินโลตัส จังหวัดนครศรีธรรมราช กาสิโนที่มาเก๊า ปอยเปต แม้แต่ที่มาเลเซีย ผมไปแก้ให้หมด ส่วนมากแล้วพวกนี้ผิดที่โครงสร้างซึ่งแต่ละที่ไม่เหมือนกัน หรือศาลหลักเมือง ที่สนามหลวง ในทางฮวงจุ้ยถือว่าสกปรก เพราะมีแต่คนไปกราบไหว้ ไปบนบาน ไม่มีใครไปทำความสะอาด ทั้งบ้านทั้งเมืองจึงเดือดร้อน เพราะศาลพระภูมิบ้านสกปรก เราก็ไปทำพิธีให้ เรื่องแบบนี้พูดไปคนไม่เข้าใจหรอก" อาจารย์วรธนัท
อย่างไรก็ตามเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์นี้ อยู่ที่ความเชื่อและวิจารณญาณของแต่ละคน อาจารย์วรธนัท เองก็บอกว่า มันเป็นเรื่องบุญกรรมและวาสนาของแต่ละคน เคยมีคนหาว่าที่ผมทำเป็นการแหกตา ซึ่งผมก็คงไปว่าอะไรไม่ได้ ก็แล้วแต่จะคิด คนมีโอกาสที่จะเข้าใกล้หรือไม่เข้าใกล้ ได้เห็นหรือไม่ได้เห็น ก็ต้องแล้วแต่ เราไม่ยุ่ง เราไม่สนใจ ผมเองจะทำหน้าที่นี้ต่อไปอีก 12 ปีแล้วก็พัก ที่อยู่ทุกวันนี้อยู่เพื่อช่วยคน สวดมนต์ ไหว้พระ รักษาศีล ผมจะอยู่เท่าที่จะสามารถทำได้
วันจันทร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559
เซ็นทรัล-TCC” เปิดศึกยก 2 ชิง “บิ๊กซี” แข่งแนวรบเออีซี
กลุ่มเซ็นทรัลและทีซีซีกรุ๊ปเริ่มเปิดศึกยก 2 ชิงกิจการ “บิ๊กซี เวียดนาม” หลังจบยกแรก ทีซีซีกรุ๊ปคว้าชัยชนะฮุบกิจการบิ๊กซี ประเทศไทย มูลค่าเงินลงทุนกว่า 1.23 แสนล้านบาท และแม้ดีลเวียดนามมีมูลค่าเพียงหลักหมื่นล้านบาท แต่เจริญ สิริวัฒนภักดี ทุ่มทุนเต็มที่ เพื่อต่อจิ๊กซอว์สร้างอาณาจักรค้าปลีกที่รุกขยายอย่างต่อเนื่องตามแผนยุทธศาสตร์ยึดครองตลาดอาเซียน ล่าสุดมีรายงานว่า บิ๊กซี เวียดนาม ได้รับความสนใจจากผู้ร่วมประมูลมากมายทั่วเอเชีย ทั้งทีซีซี โฮลดิ้งส์ กลุ่มเซ็นทรัล อิออนกรุ๊ป ค้าปลีกจากญี่ปุ่น และลอตเต้กรุ๊ป บรรษัทข้ามชาติด้านอาหาร เคมีภัณฑ์ และห้างสรรพสินค้ายักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มทุนท้องถิ่นอย่าง โคออปมาร์ท และมาซันกรุ๊ป การยื่นประมูลที่มีผู้ชิงชัยหลายรายส่งผลให้มูลค่าซื้อขายพุ่งสูงขึ้นมากกว่า 1,000 ล้านยูโร หรือราว 38,000 ล้านบาท โดยการประชันรอบแรกสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 10 มีนาคม ซึ่งคาสิโน กรุ๊ป ค้าปลีกจากฝรั่งเศส เจ้าของบิ๊กซี เวียดนาม จะพิจารณาเลือกบริษัทผู้ยื่นข้อเสนอดีที่สุด 5 แห่ง เพื่อยื่นแผนประมูลฉบับสมบูรณ์ช่วงกลางเดือนเมษายนนี้ ก่อนตัดสินใจขั้นสุดท้าย แน่นอนว่า กลุ่มทุนต่างชาติต่างต้องการ “บิ๊กซี” เพื่อสร้างฐานในเวียดนามและเป็นสปริงบอร์ดสยายปีกครอบคลุมตลาดอาเซียน เนื่องจากเวียดนามคือจุดยุทธศาสตร์ใหญ่ มีอัตราเติบโตทางเศรษฐกิจสูงและกำลังเปิดรับการลงทุนอย่างเต็มที่ ผู้คนมากกว่า 90 ล้านคน มีกำลังซื้อสูง ซึ่งทุนยักษ์ใหญ่ของไทย ทั้งทีซีซีกรุ๊ป และกลุ่มเซ็นทรัลต่างเร่งปักหมุดสร้างเครือข่ายธุรกิจและหวังผลเดียวกัน สำหรับ “ทีซีซีกรุ๊ป” จัดกระบวนทัพเบนเข็มพุ่งเป้ารุกค้าปลีกในเวียดนามนานหลายปี โดยมีบริษัท เบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “บีเจซี” เป็นหัวหอกหลัก เข้าไปสร้างฐานโรงงานผลิตแก้ว กระป๋อง บรรจุภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนสินค้าอุปโภคบริโภค ทั้งในเวียดนามและหลายประเทศในอาเซียน จากนั้นขยายเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีก ผนึกกับกลุ่มทุนเวียดนาม “ภูไทกรุ๊ป” ฮุบร้านสะดวกซื้อแฟมิลี่มาร์ทและเปลี่ยนชื่อเป็น บีส์ มาร์ท (B's Mart) โดยตั้งเป้าปูพรมขยายสาขา 700 แห่งในปี 2560 เพื่อเจาะลูกค้ารายย่อย ขณะเดียวกัน ซื้อกิจการของ “เมโทรกรุ๊ป แคช แอนด์ แคร์รี” ธุรกิจค้าส่งในเวียดนาม รูปแบบเดียวกับ “แมคโคร” มูลค่า 25,656 ล้านบาท เพื่อใช้เวียดนามเป็นฐานทำตลาดในกัมพูชาและลาว โดยในลาวซื้อกิจการร้านเอ็มพอยท์มาร์ท รองรับการส่งต่อสินค้า อีกขาหนึ่ง ทีซีซีกรุ๊ปควักเงินมากกว่า 3 แสนล้านบาท ซื้อกิจการ เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น) จากสิงคโปร์ เพื่อเสริมธุรกิจเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ เพิ่มเครือข่ายและช่องทางการกระจายสินค้าทั่วประชาคมเศรษฐกิจเออีซี หากเจริญคว้า “บิ๊กซี เวียดนาม” ซึ่งล่าสุดมีสาขารวม 30 แห่ง ย่อมหมายถึงการยึดธุรกิจผลิตและจำหน่ายอย่างครบวงจร ทั้งช่องทางค้าปลีกรายย่อย ค้าส่งเจาะผู้ประกอบการและโมเดิร์นเทรดขนาดใหญ่ มีสาขารวมกันมากกว่าพันแห่ง เช่นเดียวกับกลุ่มเซ็นทรัลที่ชูธงปักหมุดในเวียดนามเป็นจุดยุทธศาสตร์แรก โดยตั้งกลุ่มธุรกิจประเทศเวียดนาม (Central Group Vietnam) เมื่อปี 2554 และเริ่มบุกตลาดเออีซีครั้งแรกเมื่อปี 2556 โดยเปิดตัวร้าน ซูเปอร์สปอร์ต (Supersports) แห่งแรกในเวียดนาม ใน Vincom Center Ba Trieu ห้างหรูอันดับหนึ่งของกรุงฮานอย ตามด้วยร้าน คร็อคส์ (Crocs) ร้านนิวบาลานซ์ (New Balance) ปี 2558 ร่วมลงทุนกับบริษัทค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ของเวียดนาม “เหงียน คิม เทรดดิ้ง จอยท์ สต็อค คอมพานี” ในนาม “เพาเวอร์บาย” เพื่อขยายกิจการค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าเพาเวอร์บายผ่านสาขาของเหงียน คิม ทั้ง 21 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ ลงทุนเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินส์ 2 สาขา คือ สาขาฮานอยและสาขาโฮจิมินห์ซิตี้ หวังเจาะประชากรเวียดนามที่มีกว่า 90 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มวัยทำงานกำลังซื้อสูง โดยสาขาฮานอย ตั้งอยู่บนพื้นที่ 10,000 ตร.ม. บริเวณชั้นบี 1 ของโรยัลซิตี้ เมืองฮานอย ซึ่งเป็นเมกะมอลล์ขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุด ส่วนห้างสรรพสินค้าโรบินส์สาขา 2 อยู่กลางกรุงโฮจิมินห์ซิตี้ พื้นที่ 12,000 ตร.ม. ขณะเดียวกัน ทยอยขยายธุรกิจเข้าสู่ประเทศอื่นๆ ในอาเซียนโดยปี 2557 เปิดห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ณ กรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ในศูนย์การค้าอีท มอลล์ แกรนด์ อินโดนีเซีย พื้นที่ราว 20,000 ตร.ม. มีแบรนด์สินค้ากว่า 500 แบรนด์ ล่าสุด บริษัท เซ็นทรัล มาร์เก็ตติ้ง กรุ๊ป จำกัด ซื้อกิจการกลุ่มธุรกิจเทรดดิ้งเสื้อผ้า แฟชั่น “กลุ่ม HCH” ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจเสื้อผ้าแฟชั่นในตลาดโลคอลมาเลย์ ที่มียอดขายอันดับ 1 ในประเทศมาเลเซีย และเตรียมเปิดตัวโครงการเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ (Central i-City) ศูนย์การค้าในต่างประเทศแห่งแรกของบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา ที่ประเทศมาเลเซีย ในโครงการ i-City เมืองชาห์อลัม รัฐสลังงอร์ โดยเป็นการร่วมทุนกับกลุ่ม i-Berhad เจ้าของโครงการ i-City คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2561 ทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มเซ็นทรัลกล่าวว่า ปี 2559 กลุ่มเซ็นทรัลจะให้น้ำหนักกับการลงทุนในอาเซียน หลังจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เร่งขยายธุรกิจในตลาดยุโรป จนสามารถสร้างเซกเมนต์ที่ชัดเจนของกลุ่มห้างสรรพสินค้าระดับลักชัวรี ให้เป็นลักชัวรี เดสทิเนชั่น ของนักท่องเที่ยวทั่วโลกที่ต้องมาเยือน เรียกว่า Central One World of Luxury ประกอบด้วย 7 ห้างสรรพสินค้า ได้แก่ ลา รีนาเชนเต (La Rinascente) อิลลุม (Illum) คาเดเว (KaDeWe) อัลสแตร์เฮ้าส์ (Alsterhaus) โอเบอร์โพลลิงเกอร์ (Oberpollinger) เซ็นทรัล ชิดลม และเซ็นทรัล เอ็มบาสซี เหตุผลสำคัญ คือรายได้ธุรกิจในต่างประเทศมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จาก 5% เมื่อปี 2544 เป็น 18% ในปี 2558 จากรายได้ยอดขายทั้งสิ้น 283,450 ล้านบาท และตั้งเป้าเพิ่มเป็น 24% ในปี 2559 จากเป้าหมายรายได้รวม 337,040 ล้านบาท ทิศทางของบริษัทลูกในเครือจึงเร่งเพิ่มสาขาในเวียดนามเป็นอันดับแรก เช่น บริษัท ซีโอแอล จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าเปิดสาขาร้านออฟฟิศเมทและบีทูเอสในเวียดนาม 20-27 แห่ง และขยายต่อเนื่องไปยังอินโดนีเซีย มาเลเซีย กัมพูชา ลาว พม่า ส่วนบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN กำลังศึกษาการลงทุนศูนย์การค้าในเวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะเข้าลงทุนในรูปแบบร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่นเหมือนโครงการเซ็นทรัล ไอ-ซิตี้ที่มาเลเซีย เปรียบเทียบจุดแข็งจุดเด่น ในฐานะยักษ์ใหญ่ที่มีรูปแบบค้าปลีกมากมายอย่างกลุ่มเซ็นทรัลกับทีซีซีที่ยังเป็นมือใหม่ในวงการ แต่ในฐานะทุนยักษ์ใหญ่ที่มีเม็ดเงินเต็มหน้าตัก กล้าได้กล้าเสียอย่าง “เจริญ สิริวัฒนภักดี” ศึกชิง “บิ๊กซี” ยกที่ 2 ล้วนมีผลและย่างก้าวสำคัญที่จะบอกว่า ใครคือยักษ์ค้าปลีกในอาเซียน -
วันอาทิตย์ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)