วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

เจเจ มาร์เก็ต' ใต้เงาเซ็นทรัลจับตาเซียนบริหารศูนย์การค้า

ประมาณ 1 ปี 6 เดือนมาแล้ว นับจากวันที่ 5 ธันวาคม 2547 วันแรกที่โครงการเจเจ มาร์เก็ตเปิดบริการ โครงการศูนย์การค้าแนวราบขนาดเล็กของกลุ่มเซ็นทรัล ที่โดดเข้าไปร่วมสร้างสีสันให้กับเมืองเชียงใหม่ ที่ๆ นักธุรกิจโดยเฉพาะคนต่างถิ่นมักจะเรียกว่าเป็นเมืองปราบเซียน
       
       แต่ความสำเร็จจากโครงการเซ็นทรัลแอร์พอร์ตที่ทำไปแล้ว ทำให้คำว่าปราบเซียนไม่ได้อยู่ในความวิตกจนเกินเหตุของมืออาชีพที่กำชัยชนะและผ่านประสบการณ์อย่างโชกโชนมาแล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ยังชี้ชัดไม่ได้ว่า "เจเจ มาร์เก็ต" จะสำเร็จหรือล้มเหลว…“ผู้จัดการออนไลน์” ติดตามความคืบหน้าล่าสุดมานำเสนอ
     เช็คความพร้อมร้านค้า ตรวจสภาพโครงการ
       

       "แผนงานที่วางไว้ตั้งแต่แรก ถึงวันนี้ทำครบแล้ว การลงทุนของโครงการฯ พื้นที่ 40 ไร่ ก็ใกล้เคียงกับประมาณการที่ได้ทำไว้คือ 100 กว่าล้านบาท และคาดว่าประมาณ 5 ปี จะคืนทุน เพียงแต่มีอุปสรรคบางส่วนที่ทำให้คนยังไม่กล้าลงทุน" อภิรดี ตันติเวชกุล ผู้อำนวยการโครงการ ศูนย์การค้า "เจเจ มาร์เก็ต" กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการฯ
     
       สำหรับการลงทุนทั้ง 3 เฟสของโครงการที่แบ่งออกเป็น 3โซน มีพื้นที่ขายทั้งหมด 1.2 หมื่นตารางเมตร แบ่งเป็น โซนเอ ดีไซเนอร์ มาร์เก็ต 4,500 ตารางเมตร โซนบี ฮ้อบบี้ 2,000 ตารางเมตร และโซนซี กู๊ดเทสต์ มาร์เก็ต 5,500 ตารางเมตรนั้น
     
       สองเฟสแรกที่เปิดบริการไปก่อนหน้านี้ คือ โซน“ฮ้อบบี้ มาร์เก็ต” ซึ่งเปิดเป็นเฟสแรก วางคอนเซ็ปต์ไว้ว่าเป็นตลาดรวมสินค้าราคาย่อมเยา สำหรับผู้บริโภคที่ชอบผลิตภัณฑ์ประเภทงานอดิเรก ในช่วงแรกร้านค้ากว่า 300 ร้านมาเปิดให้บริการอย่างคึกคัก แต่ค่อยๆ ลดลงด้วยเหตุผล 2 ด้าน คือ เมื่อลูกค้ามาเดินไม่มาก และเจ้าของร้านมักจะเปิดปิดร้านตามความพอใจ ในตอนนี้ปัญหาจึงเกิดกับภาพรวมของโครงการฯ
     
       ทำให้ต้องแก้ไข โดยกำลังวางแผนปรับคอนเซ็ปต์โซนนี้ใหม่ และได้ย้ายร้านค้าที่ยังคงต้องการค้าขายไปอยู่ในโซนกู๊ดเทสต์ มาร์เก็ต เฟสสุดท้ายซึ่งเพิ่งจะเปิดไปเมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
     
       ได้ประโยชน์ทั้งในแง่ที่ทำให้โซน "กู๊ดเทสต์ มาร์เก็ต" มีพื้นที่ร้านค้าว่างน้อยลง และทำให้ร้านค้าเดิมที่เคยอยู่ในฮ้อบบี้ มาร์เก็ตมีลูกค้ามากขึ้น เพราะไม่ต้องเดินเข้าไปลึกอย่างที่เคย แล้วปรับพื้นที่ร้านจากเดิมขนาด 16 ตารางเมตรซึ่งดูโหรงเหรง เหลือ 9 ตารางเมตร ทำให้วางสินค้าได้ดูดีดูแน่นกว่าเดิม
     
       "ส่วนพวกที่ยังไม่กล้าลงทุน โครงการฯ ก็ใช้วิธีการฝากขายแทนเก็บค่าเช่าเป็นก้อน ทุกคนเก่งผลิต มีสินค้า แต่ไม่พร้อมจะเปิดร้านเต็มที่ เราก็ชักจูงให้มาวางที่นี่ แล้วให้หาพนักงานขายมา 1 คน บางคนกลัวเงินหายก็ให้ญาติมา แต่ตอนนี้ไม่ต้องกลัวหายเพราะเรามีแคชเชียร์เดินเก็บเงินอาจจะเดินวันละ 3 รอบ เมื่อเรามีรายงานตรงกับเขา เราก็หักเป็นค่าเช่า 25% เราเป็นคนดูแลเงินให้เขา เขาไว้ใจเรา สิ้นเดือนเขาก็ได้ค่าสินค้าคืนไป แต่เขาต้องดูแลให้ลูกจ้างขายของให้ดี เพราะฉะนั้นเขาก็รู้สึกว่าไม่ต้องลงทุนมาก เอาของมาลง จัดดิสเพลย์ง่ายๆ วิธีนี้ดีแน่นอน ในการบริหารเรายึดหลัก เขาอยู่ได้เราอยู่ได้" ผู้อำนวยการโครงการฯ อธิบายการแก้ปัญหา
     
       ในโซน "ดีไซเนอร์ มาร์เก็ต” เป็นกลุ่มผู้ผลิตที่มีดีไซน์และสามารถขายสินค้าล็อตใหญ่ได้ โครงการฯ ลดค่าเช่าให้ 30% ตลอดปี 2549 เพราะคนมาเดินน้อยกว่าที่ควรจะเป็น
     
       "เราแก้ปัญหาตลอดเวลา เราใช้สัญญา 3 ปี ต่อ 3 ปี พอครบ 3 ปี เราก็มาดูว่าพร้อมแค่ไหน ถ้าเศรษฐกิจดีเราขึ้นค่าเช่านิดหน่อย แต่ถ้าไม่ดีอยู่กับที่ก่อน เป็นการเรียนรู้กันและกัน เรามุ่งให้อยู่ได้ก่อนไม่ได้เก็บเต็มเม็ดเต็มหน่วย"
     
       "เราประชุมกันบ่อยแบบจับเข่าคุย ช่วยลดความกดดันหรือไม่เข้ากันให้ลดลงได้ หรือไม่ก็เดินไปทักทายทุกวัน แต่แตกต่างจากกรุงเทพฯ ชัดเจน เพราะกรุงเทพฯ ทุกคนเคยทำการค้า เคยเดินทาง มีความคิดอีกอย่าง ที่นี่เขาจะคิดว่ามันง่าย แต่พอไม่ได้ก็เลิกเร็ว เพราะเมืองเขาสบายมีกินมีใช้ อากาศดี เขาไม่ผิดเพียงแต่ไม่คุ้นเคยกับการค้าขายระยะยาวมากกว่า เราเข้าใจ และยึดแนวทางการบริหารแบบจริงใจตามชื่อที่เราตั้งไป" อภิรดี แจกแจงถึงการบริหารพันธมิตร
     
       แจงกลยุทธ์จัดอีเว้นต์ 3 แนวกระตุ้นตลาด
     
       การจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด หรืออีเว้นต์ต่างๆ นับว่ามีส่วนสำคัญไม่น้อยที่จะสร้างบรรยากาศดีๆ และความคึกคักให้โครงการฯ เพื่อกระตุ้นให้ทั้งนักท่องเที่ยวและคนท้องถิ่นสนใจหรือเข้ามาร่วมในกิจกรรม
     
       อภิรดี บอกว่า แบ่งการจัดอีเว้นต์ ออกเป็น 3 แบบ แบบแรกเป็นกิจกรรมที่จัดตามเทศกาล ซึ่งเทศกาลใหญ่ๆ ของเชียงใหม่ที่เป็นที่รู้จักและได้รับความนิยม คือเทศกาลสงกรานต์กับเทศกาลลอยกระทง ซึ่งต้องจัดอย่างแน่นอนอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญคือการสร้างคอนเซ็ปต์ที่สนุกสนานให้ได้ความประทับใจกลับไป
     
       ส่วนอีกแบบ จัดเป็นกิจกรรมที่รองลงมา โดยการเลือกจัดให้งานมีความใหญ่ มองเห็นจากถนนใหญ่ของโครงการฯ และเชื่อมเข้าไปถึงพื้นที่ด้านใน เพื่อให้ลูกค้าที่ผ่านไปมาได้เห็นด้วย โดยมีการเลือกสรรพันธมิตรในกลุ่มโรงแรมบูทีค และสนามบินเพื่อวางแผ่นพับประชาสัมพันธ์โครงการ รวมทั้งบริษัททัวร์เพื่อเจาะถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวเป้าหมายโดยตรง
     
       แล้วยังมีการจัดอีเว้นต์อื่นๆ จากที่มาขอใช้สถานที่ เช่นในปีนี้จะมีการจัดงานพืชสวนโลก ซึ่งเชียงใหม่ได้รับเลือกให้เป็นสถานที่จัดงานจะมีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ ทางเจเจ มาร์เก็ต มีสถานที่ที่เหมาะจะช่วยได้ เช่น หอเชียงเลอเหนือ ศาลาหลวง
     
       งานพืชสวนโลก นับเป็นปัจจัยเสริมและไฮไลต์ให้ภาพรวมของเชียงใหม่มีตัวช่วยดึงดูดเศรษฐกิจให้มีความคึกคัก โดยมองว่าสามารถแบ่งประโยชน์ที่จะได้รับออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงแรก เป็นกลุ่มคนที่ต้องมาจัดการเตรียมงาน ช่วงที่สอง เป็นกลุ่มที่มาในช่วงที่มีการจัดงาน และช่วงที่สาม หลังจากจบงาน เมื่อมีการไปบอกกันปากต่อปาก ทำให้นักท่องเที่ยวอยากจะมากันมากขึ้น เกิดการสร้างรายได้เข้ามาเป็นระยะๆ และในปีต่อๆ ไปนักท่องเที่ยวจะมีแหล่งท่องเที่ยวจุดหมายใหม่ นับเป็นผลดีในระยะยาว
     
       นอกจากนี้ มีการพูดกันมากขึ้นถึงความสวยงามของเชียงใหม่ในช่วงหน้าฝน หลังจากที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) พยายามโปรโมทให้เห็นว่า เป็นช่วงฤดูที่น่าท่องเที่ยวไม่น้อย เพราะอากาศสดชื่นต้นไม้สวยงาม และช่วงที่ฝนตกหนักจริงๆ แค่เดือนกันยายนเท่านั้น
     
       ในปีนี้ ยังได้โอกาสงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งจะมีพระราชอาคันตุกะจากทั่วโลกเดินทางมาร่วม มีข่าวดีๆ เกี่ยวกับประเทศไทยเผยแพร่ไปต่างประเทศ ประกอบกับบรรยากาศทั่วไป มีการประชาสัมพันธ์และการจัดงานฉลอง มีผลต่ออารมณ์ในการตัดสินใจท่องเที่ยว แม้จะมีอุปสรรคจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากมาตลอดจนกระทบต่อค่าครองชีพของคนส่วนใหญ่ กลุ่มเป้าหมายของ เจเจ มาร์เก็ต แบ่งเป็น นักท่องเที่ยวทั้งต่างชาติและคนไทยต่างถิ่น 80% กับที่เหลือเป็นคนท้องถิ่น 20%
     
       "คนตั้งใจมาเที่ยวธรรมชาติก็จริง แต่ก็ต้องอยากจะหาที่ใหม่ๆ ในการช้อปปิ้งอยู่ดี เราก็เป็นทางเลือกใหม่ และงานพืชสวนโลกเป็นเหมือนอาวุธสำคัญที่เราไม่ต้องใช้เอง แต่ช่วยเราได้ตั้งแต่กลางปีเลย และปีนี้เทศบาลน่าจะดูแลเรื่องน้ำท่วมเพราะปีที่แล้วหน้าแตกมาแล้ว เรื่องการเมืองน่าจะคลี่คลายได้เยอะเพราะทุกคนทำเพื่อในหลวง เมื่อสถานการณ์สงบ นักท่องเที่ยวก็สบายใจที่จะมา" อภิรดี เชื่อว่าปีนี้น่าจะดีกว่าปีก่อนเพราะมีปัจจัยสนับสนุนมากกว่า
     
       เปรียบเทียบคู่แข่งขัน โชว์จุดแข็ง เล็งอุดจุดอ่อน
     
       อย่างไรก็ตาม ในด้านของการแข่งขัน อภิรดี มองทั้งส่วนที่เหมือนและส่วนที่ต่างของคู่แข่ง
     
       เมื่อเปรียบเทียบกับ "ไนท์บาซาร์" ความเหมือนกัน คือการเป็นตลาดกลางคืน มีชื่อเสียงมานาน แต่จุดอ่อน คือขาดที่จอดรถ สินค้าที่ขายกันอยู่เป็นของที่หาได้ทั่วไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่างกันเพราะเจเจ มาร์เก็ต ไม่ได้เลือกสินค้าทั่วไปมาไว้เลย สินค้าที่เลือกมามีความโดดเด่น และมีคอนเซ็ปต์ชัดเจนเป็นจุดขาย
     
       สำหรับ "ถนนนิมมานเหมินทร์" ซึ่งเฉพาะซอย 1 เท่านั้นที่ฮิต ร้านค้าปิดเร็วแค่ 1 ทุ่ม แม้ว่าจะมีชื่อเสียงเก่าแก่ ถึงจะมีร้านใหม่ๆ เกิดขึ้นบ้าง เช่น กาแฟสตาร์บัคส์ แต่เหมือนกับถนนทองหล่อในกรุงเทพฯ มากกว่า ตรงที่คนไปเพื่อหยุดแวะพักเป็นไนท์ไลฟ์มากกว่าช้อปปิ้ง แต่เจเจ มาร์เก็ต เป็นไนท์ไลฟ์บวกกับช้อปปิ้งเพราะร้านที่นี่ปิดดึก
     
       สรุปแล้ว “เจเจ มาร์เก็ต” เป็นทางเลือกที่ 3 มีสินค้าเลือกสรรมาให้แล้วและหลากหลาย เป็นสินค้าท้องถิ่นที่มีคุณภาพในระดับส่งออก และเป็นไนท์ไลฟ์ได้อีกด้วย นอกจากจะเดินในช่วงกลางวันได้แล้ว
     
       มีจุดแข็งที่เห็นได้ชัด คือ เป็นโครงการที่มีถนนเส้นใหม่ผ่านกลาง และเป็นถนนสายแรกที่สวยงามเพราะเดินสายไฟฟ้าลงใต้ดิน สามารถเห็นหน้าร้านค้าทั้งสองฝั่งเรียงรายยาวประมาณ 200-300 เมตร มีการตกแต่งออกแบบสวยงามสะดุดตา บรรยากาศดี แม้ว่าจะออกมานอกเมือง แต่เดินทางสะดวกเดินทางจากกลางเมืองเพียง 15 นาที และเป็นเส้นทางจากแหล่งท่องเที่ยวหลายแห่งตัดผ่านเข้าเมือง เป็นแบบที่นักท่องเที่ยวทั้งกรุงเทพฯ คนต่างถิ่น และต่างชาติ ชอบ เพราะไม่ใช่ตึกแถวเหมือนที่อื่น เดินเลือกซื้อได้ง่าย มีที่จอดรถและห้องน้ำสะดวกมาก
     
       แล้วยังได้รับความร่วมมือจากร้านเปิดไฟหน้าร้านถึงเที่ยงคืนหลังจากที่ร้านปิดไปแล้ว เพื่อจะให้คนที่ผ่านไปมาได้เห็นความสวยงามของร้านและโครงการดูไม่เงียบเหงา
     
       ในรายละเอียดของเลย์เอ้าท์ มีการทำระเบียงยาวมีร่มเงากันแดดด้านหน้าร้าน ส่วนอีกฝั่งซึ่งพื้นที่ลึก มีการออกแบบร้านเหมือนบ้านเล็กๆ เป็นหลังๆ ให้ความรู้สึกอบอุ่น และบางส่วนแบ่งเป็นห้องเล็กๆ เหมือนหมู่บ้านที่ขายของ ทำให้เดินได้อย่างสบายๆ
     
       แต่ยังมีจุดอ่อนที่ยอมรับว่ายังไม่ได้ปรับให้ดีขึ้น แต่มีแผนจะทำให้เสร็จสมบูรณ์ในปีหน้า เพราะต้องใช้เวลาในการพิจารณากันทั้งสองฝ่าย ก็คือ ร้านอาหารอร่อยๆ ซึ่งต่อไปจะคัดร้านที่เหมาะมาเติมให้เต็ม เป็นร้านเล็กขนาดประมาณ 100 ตารางเมตรประมาณ 5 ร้าน กับร้านใหญ่ขนาดประมาณ 800 ตารางเมตรอีก 1 ร้าน
     
       แม้ปัจจุบันจะมีร้านอาหารอยู่แล้ว แต่ถือว่ายังน้อยมาก คือ มีแค่ "ร้านนาซิจำปู๋" ซึ่งเป็นอาหารแนวฟิวชั่นล้านนา กับร้าน "the Cottage" ซึ่งเป็นร้านอาหารอร่อยเปิดบริการช่วงกลางวันและผับในช่วงเย็น และ "ร้านกาแฟวาวี" เปิดบริการ 7 โมงเช้าเพื่อให้ลูกค้ามานั่งสบายๆ หรือเป็นที่นัดพบในตอนเช้าและปิด 4 ทุ่ม ซึ่งทั้งสองร้านอยู่หัวและท้ายของโครงการฯ เป็นการวางเลย์เอ้าท์ที่จงใจให้เสริมกันทั้งโครงการฯ
     
       แม้ว่าความสมบูรณ์ของโครงการนี้ยังไม่เต็มร้อย แต่ ผู้อำนวยการโครงการฯ ก็เชื่อว่า “เจเจ มาร์เก็ต”จะสามารถเป็นแหล่งช้อปปิ้งใหม่แนว open air ที่เป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวได้ตั้งแต่ปีนี้ ด้วยการผลักดันอย่างเต็มที่
     
       "เป้าหมายชัดเจนว่าต้องการให้ที่นี่เป็นจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งอยากจะแข่งกับเซ็นทรัลแอร์พอร์ตอยู่ในที ที่นั่นใกล้สนามบิน แต่ลูกค้าอาจจะเบื่อแบบนั้นอยากมาเดินแบบนี้ เหมือนทั้งแข่งและไม่แข่งอยู่ด้วยกัน แต่ที่ชี้วัดความสำเร็จจริงๆ คือ การมาซ้ำและการบอกต่อ" อภิรดี ทิ้งท้ายเป้าหมายที่ตั้งไว้
     
       "เจเจ มาร์เก็ต" ตลาดจริงใจ ของชาวเชียงใหม่ จะทำได้ตามที่คิดไว้หรือไม่ ยังคงต้องติดตามกันต่อไป...
     
       ****************************
'เจเจ มาร์เก็ต' ใต้เงาเซ็นทรัลจับตาเซียนบริหารศูนย์การค้า
        ไฮไลท์โครงการหลวง ขายไอเดียคอนเซ็ปต์ช้อป
     
       "เจเจ มาร์เก็ต" มีการวางคอนเซ็ปต์ให้โซนต่างๆ มีจุดเด่นที่แตกต่างกันเพื่อสร้างความหลากหลายให้โครงการ ล่าสุด ในโซนกู๊ดเทสต์ มาร์เก็ต มีคอนเซ็ปต์ช้อปมากมาย สำหรับไฮไลท์ที่อยู่ที่การรวมผลิตภัณฑ์ของโครงการหลวง 3 โครงการ เพื่อดึงดูดกลุ่มเป้าหมายที่ชื่นชมกับโครงการหลวง สินค้าหัตถกรรม และอาหารปลอดสารพิษ
     
       โครงการแรก "โครงการพัฒนาดอยตุง" ในสมเด็จพระศรีนครินทรทราบรมราชชนนีฯ ซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางถึงงานหัตถกรรมและการออกแบบระดับส่งออก ภายใต้ผลิตภัณฑ์ที่ชื่อร้านดอยตุง บาย แม่ฟ้าหลวง และร้านดอยตุง คอฟฟี่ ซึ่งเป็นร้านกาแฟแนวทันสมัย
     
       โครงการที่สอง "ร้านธรรมชาติ" ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ซึ่งทรงใช้พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์จัดทำ และพัฒนาขึ้นบนที่ดินส่วนพระองค์ มีผลิตภัณฑ์ปลอดสารพิษต่างๆ เช่น ข้าวสาร ผัก ผลไม้ น้ำผลไม้ ผลไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์แปรรูปจากสมุนไพร
     
       โครงการที่สาม "สวนปกาศิต" ในพระราชเสาวนีย์สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เป็นสินค้าเกษตรอินทรีย์ไม่มีสารเคมีเลยและสดแบบวันต่อวัน มีจุดขายอยู่ที่ผักสดตามฤดูกาล ส่วนใหญ่เป็นผักราคาสูงไม่ใช่ผักพื้นบ้าน เช่น เบบี้แครอท บร๊อคเคอรี่ ปวยเล้ง ยอดถั่วลันเตา และสินค้าเกษตรแปรรูปจากแหล่งปลูกในอำเภอเชียงดาว
     
       นอกจากนี้ ยังมี "ร้านเปียงหลวง" ซึ่งเป็นร้านค้าของโครงการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตของชาวไทยใหญ่และชาวจีนยูนนาน เป็นร้านที่เปรียบเหมือนประตูที่จะนำไปสู่เปียงหลวงจริงๆ สินค้าที่ขายมีของกิน 80% และของใช้ประจำวัน 20% เป็นของที่มีความแปลกมีเอกลักษณ์ในตัวเอง เช่น ข้าวเกรียบถั่วลันเตา ขนมไข่กรอบ
     
       สำหรับ "ร้านช้อปสนุก" (Shop Sanook) เป็นร้านที่เซ็นทรัลคิดคอนเซ็ปต์ให้รู้สึกว่าเข้ามาช้อปปิ้งได้อย่างสนุกๆ สินค้าน่าซื้อราคาไม่สูง ซึ่งทำให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ทำขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ข้อมูลด้านการท่องเที่ยวกับคนทั่วไปที่สนใจ และขายสินค้าประเภทของที่ระลึกทั่วไป เช่น เสื้อ หมวก กระเป๋า ผลิตภัณฑ์สปา โดยมีคอนเซ็ปต์ที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเป็นเรื่องราวต่างๆ
     
       สินค้าที่สร้างเป็นคอนเซ็ปต์ขึ้นมาจะสร้างเป็นคอลเลคชั่นต่างๆ ออกมาเป็นระยะๆ เช่น เริ่มด้วยช้างเพราะเป็นโลโก้ของร้าน เป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาคนต่างชาติ และเชื่อมโยงกับปางช้างซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว
     
       สินค้าที่นำมามีหลากหลายทั้งแบบที่สัมพันธ์กับท้องถิ่นและออกแบบขึ้นเอง เช่น เซรามิกรูปช้างจากลำปาง ตุ๊กตาถุงช้าง หมอนอิงลายช้าง จากนั้นจะตามด้วย งูซึ่งเชื่อมโยงกับฟาร์มงู ลิงสัมพันธ์กับโรงเรียนฝึกสอนลิง และจระเข้เกี่ยวกับฟาร์มจระเข้
     
       อย่างไรก็ตาม เนื่องจากยังมีแค่ 2 ร้าน คือ ภูเก็ตซึ่งเปิดก่อนเหตุการณ์สึนามิ และเชียงใหม่ไม่สามารถทำให้เกิดความหลากหลายในสินค้าได้มากตามที่ต้องการ แต่ต่อไปเมื่อขยายสาขาเพิ่มจะช่วยได้ ตามแผนวางไว้ว่าจะเปิดในเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ก่อน คือ พัทยา กรุงเทพฯ จากนั้นจะตามด้วย แหล่งที่มีนักท่องเที่ยวมาก เช่น สนามบิน พระราชวัง ซึ่งขนาดพื้นที่ร้านเล็กสุด 16 ตารางเมตร และใหญ่สุดจะอยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์มีพื้นที่ประมาณ 100-200 ตารางเมตรราคาสินค้าต่ำสุด 35 บาท เช่นพวงกุญแจ นอกจากนี้ ยังคิดจะเปิดเป็นคีออสเล็กๆ อีกด้วย
     
       ด้วยประสบการณ์บริหารพื้นที่ศูนย์การค้า ทำให้เกิดความคิดที่จะช่วยผลักดันโครงการฯ ให้ไปถึงเป้าหมาย เช่น ร้านขายเครื่องเขียนซึ่งมีเครื่องเขียนนานาชนิดให้เลือกซื้อได้อย่างจุใจ หรือร้านขายเทียน ด้วยการลงทุนทำให้ดูเป็นตัวอย่าง และวัดผลจากยอดขายจริงๆ แล้วส่งต่อให้กับลูกค้าซึ่งต้องการจะเป็นเจ้าของ เกิดประโยชน์ทั้ง 3 ส่วน คือ ลูกค้าหน้าโรงเรียน โครงการฯ และกลุ่มเป้าหมาย



วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

อาจารย์หม่า หลอกลวง






เปิดคฤหาสน์ อ.หม่า ซินแสฮวงจุ้ย หมื่นล้าน

นานกว่านาน, กว่าจะนัด กว่าจะสัมภาษณ์ผู้กุมความลับของนักธุรกิจ นักการเมืองชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทยได้ พูดเป็นภาษาข่าวก็ต้องบอกว่า เขาคือซินแสชื่อดังที่มีคิวทองฝังเพชรมากที่สุดคนหนึ่งในวงการเลยทีเดียว...! 

เมื่อทุกอย่างลงตัว ไทยรัฐออนไลน์ได้รับเกียรติเปิดบ้านมูลค่า 300 ล้าน (บ้านหลังนี้แต่งถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยเป็น 1 ใน 88 แบบ) พร้อมกับเจาะเส้นทางชีวิตที่ยิ่งกว่านิยาย คุยเรื่องลับๆ ของนักการเมือง 2 พรรคใหญ่ที่มาใช้บริการ เรื่องเบื้องหลังฮวงจุ้ยทำเนียบที่ผิดๆ เรื่องเมืองหลวงที่ย่ำแย่ทำให้ขัดแย้งหลายสิบปีที่ผ่านมา

"สิ่งที่หลายคนไม่รู้และเป็นสิ่งที่น่าตกใจก็คือประเทศไทยมีฮวงจุ้ยย่ำแย่มากถึง 99.99 %"



ไปจนถึงเรื่องนายกฯ คนใหม่ที่เขาบอกว่า เมืองไทยจะมีนายกฯ คนใหม่เป็นผู้ชายมีฐานะ ไม่แก่และก็ไม่เด็กจนเกิน และที่สำคัญปี 2556 เขาจะปรากฏตัว กับ ซินแสฮวงจุ้ยที่โด่งดังและได้รับยอมรับมากที่สุดคนหนึ่งไม่เพียงใน ประเทศไทย อ.หม่า หรือ อ.วรธนัท (ณรงค์) อัศกุลโกวิท ปรมาจารย์แห่งวิชาฮวงจุ้ย 1 ใน 3 ของโลก

ชีวิตยิ่งกว่านิยาย! จากเศรษฐีหมื่นล้าน สู่กรรมกรโรงงาน! 


อ.หม่า เล่าเส้นทางการเป็นซินแสฮวงจุ้ยให้ฟังว่า เดิมต้นตระกูลคุณปู่เป็นนายทหารอยู่พรรคก๊กมินตั๋ง แต่ดังเดิมครอบครัวทำธุรกิจ ช่วงนั้นเป็นช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัยเปลี่ยนจากราชวงศ์มา เป็นคอมมิวนิสต์ และยุคนั้นมีกฎเหล็กว่า 1 ตระกูลต้องส่งลูกผู้ชาย 1 คนไปเป็นทหาร เข้าไปและได้เป็นที่ปรึกษาของเจียไคเช็ก พอเกิดปัญหาทางการเมือง เจียไคเช็ก และคนในตระกูลร่วมถึงคนสนิทก็หนีไป (สุดท้ายโดยจับ) อยู่แถบฮ่องกง สิงคโปร์ มาเลเซีย และครอบครัวเรามาอยู่นี่ โดยขนสมบัติทรัพย์สินมหาศาลมาลงหลักปักฐานพร้อมกับเปิดโรงสีข้าวอาชีพที่กำลังฮิตและกิจการอื่นๆ อีกมากมาย

เหมือนจะดี, เพราะขนทรัพย์สินมหาศาลติดตัวมา ทว่าจุดเปลี่ยนที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นกับเมื่อทรัพย์สินและธุรกิจต่างๆ กลับโดนฮุบกิจการและทรัพย์สินไปจนสิ้นเนื้อประดาตัว



“ตอนที่อพยพมา คุณพ่ออายุ 11 ขวบ ดังนั้นทรัพย์สินที่ขนมาก็ต้องฝากน้องชายปู่ แต่ไม่รู้เป็นไงดูแลแบบไหน ชื่อพ่อที่เคยเป็นเจ้าของก็ถูกเปลี่ยนชื่อคนอื่นหมด พ่อจึงกลายมาเป็นเด็กภายใต้ปกครองในฐานะคนงานในโรงงานเท่านั้น พ่อเล่าเรื่องนี้ให้เราฟังตอนโตตอนนั้นผมคิดตามภาษาเด็กว่าถ้ามีโอกาสก็อยากจะได้ของพวกนี้คืนมาให้ครอบครัวและคำว่าวิชาที่ว่าดูการดูฮวงจุ้ยและพยากรณ์ ชะตาก็เริ่มดังในหัวเราขณะที่อายุไม่ถึง 10 ปี”
ฮวงจุ้ยอยู่ใน DNA ..! 

ซินแสชื่อดังบอกว่า หลังจากขอให้พ่อสอนวิชาฮวงจุ้ยมาเรื่อย กระทั่งคิดการณ์ไกลว่าอยากจะกลับไปเรียนที่จีน เพราะคือต้นกำเนิดวิชา แต่เนื่องจากคุณย่าอยู่ฮ่องกง จึงตัดสินใจเดินทางไปที่นั่นด้วยเงินที่พ่ออดออมส่งเสียให้ ก่อนจะเดินทางตามหาซินแสชื่อดังเพื่อสอนวิชาทั่วเกาะฮ่องกง

“จำได้ว่าผมดูดวงครั้งแรกอายุ 17 ปีได้เพราะคุณย่าแนะนำเพื่อนๆ ให้ว่าเราเป็นหลานมาจากเมืองไทยสนใจมาเรียนฮวงจุ้ย ผู้ใหญ่ก็ให้ลองดูพอดูแล้วแม่นได้ผล จากนั้นก็ได้มีโอกาสดูนักธุรกิจคนสำคัญและดาราในฮ่องกงในยุคนั้นหลายคนต่อมา ก็แนะนำกันปากต่อปากดูเสร็จก็ผู้ใหญ่ก็ให้อั่งเปา ส่วนใหญ่เมื่อได้เงินมาเราก็เอาเงินไปทำบุญ วิชานี้มันแปลกเพราะว่าเอาไปทำมาหากินไม่ได้ เนื่องจากเป็นวิชาที่ช่วยคนอื่น และหากวิชามันจะแข็งแรงแม่นยำได้ก็ต้องเกิดจากการช่วยคน”

ส่วนทรัพย์สินเงินทองทรัพย์สินที่ได้มาแบบที่เห็น เขาย้ำว่าไม่ได้ใช้วิชาเก็บเงินเป็นค่าช่วยเหลือแต่อย่างใด แต่ทว่าพอเข้าไปช่วยเหลือแล้ว กิจการดีขึ้น ชีวิตดีขึ้น ตำแหน่งใหญ่ขึ้นจริง ตามคำแนะนำคนที่ช่วยเหลือไปมอบสินน้ำใจให้เราโดยที่ไม่เรียกร้อง, รูปถ่ายเงินแบงก์ดอลลาร์กองมหาศาลในกรอบหรูหลายกรอบที่แขวนอยู่รอบบ้าน (ราคา 300 ล้าน) หลังนี้ เป็นเครื่องยืนยันได้เป็นอย่างดี

ถอดความลับ - ถอดรหัสบ้านเมืองขัดแย้งเพราะฮวงจุ้ยแย่..!
แบบที่บอก, นอกจากขึ้นชื่อเรื่องจัดปรับฮวงจุ้ยให้กับนักธุรกิจทั้งนอกและในประเทศไทยแล้ว ประเด็นนี้เป็นอีกหนึ่งคำร่ำลือ แต่ยังไม่มีใครเคยฟังจากปากว่าเขาเป็นมือวางอันดับหนึ่งในการวางฮวงจุ้ยที่นักการเมืองค่อนประเทศที่มา ขอความช่วยเหลือกัน
อ.หม่าบอกว่า จริงๆ ไม่ได้เฉพาะเจาะจงเรียกว่าใครขอความช่วยเหลือมาก็ขอออกไปช่วยตามคิว ซึ่งก็มีแทบทุกอาชีพ ตั้งแต่สูงสุดจนถึงธรรมดาทั่วไป

"จริงๆ นักการเมืองก็เยอะครับ (ยิ้ม) เอ่ยชื่อมาก็ถูกหมดอย่างตระกูลของอดีตผู้นำพลัดถิ่นก็ใช้บริการเป็นประจำ ส่วนใหญ่จะเป็นที่พักอาศัย ที่ทำการพรรคต่างๆ ประชาธิปัตย์ผมก็จัดฮวงจุ้ยให้หมดนะ ผมไม่ลำเอียงไม่จำกัดสี แต่ก็มีแนะนำไปแล้วไม่เชื่อก็มี ซึ่งก็เป็นสาเหตุหลักที่รัฐบาลวุ่นวายอยู่แบบนี้ก็เพราะว่าฮวงจุ้ยที่ทำ การพรรคไม่ดี จริงๆ ก่อนหน้านี้ผมเคยแนะนำพรรคเพื่อไทยว่าให้ย้ายที่ทำการพรรค เพราะแม้ว่าจะชนะการเลือกตั้ง แต่สังเกตไหมว่าพวกเขาบริหารงานไม่ได้ เนื่องจากฮวงจุ้ยที่ทำการพรรคไม่ดีด้านหน้าติดน้ำเน่า ข้างหลังติดแหล่งอโคจร ก่อนหน้าผมเคยไปดูที่ทำการพรรคใหม่ให้ อยู่ตรงหลักสี่ข้างตึก AIS ถ.วิภาวดีตำแหน่งดี แต่ว่าเสียตังค์ 3-4 ร้อยล้าน เมื่อฮวงจุ้ยอยู่ในตำแหน่งเสียหาย ความคิดมันก็จะไปอีกทาง พรรคประชาธิปัตย์ก็เหมือนกันทำนะ แต่ต้องแบบไม่ต้องเสียเงิน ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นแบบนี้ "

ดังนั้นอยากให้มีเสถียรภาพดี นอกจากย้ายที่ทำการพรรคแล้ว ความขัดแย้งวันนี้ความผิดใหญ่อยู่ที่เอาบ้านนรสิงห์ (ค้นประวัติได้ที่วิกิพีเดีย) บ้านที่มีฮวงจุ้ยไม่ดี มีประวัติไม่ดีมาใช้เป็นทำเนียบรัฐบาล

“จริงๆ บ้านทุกหลังนั้นมีประวัติความเป็นมาหมด แต่บ้านหลังนั้นดันมาเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนไทยและประเทศไทย ซึ่งหากย้อนประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้นตลอด 50-60 ปีที่ผ่านมา หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง รัฐบาลมีแต่ความแตกแยก แม้เริ่มต้นจะดีแบบกอดคอกันเข้ามา แต่ที่สุดก็มาแตกแยก มีการช่วงชิงกันมาตลอด เป็นเรื่องราวซ้ำๆ แม้กระทั่งประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทยเองก็ตามพอเข้าไปในที่สุดเรื่องราวรักกัน ขัดแย้งกัน แตกแยกกัน พอเลือกตั้งใหม่ก็เข้ามากอดคอ แล้วก็แตกแยกแล้วก็เลือกตั้งใหม่อีกเป็นเพราะว่าฮวงจุ้ยของบ้านที่นำมาทำทำเนียบรัฐบาลไม่ดี” 



ย้ายเมืองหลวง การเมืองความขัดแย้ง สงบ...!

นอกจากการปรับเปลี่ยนกระทั่งย้ายทำเนียบรัฐบาลถึงจะแก้ไขเหตุความวุ่นวายที่เรื้อรังได้แล้ว อ.หม่าบอกว่าการย้ายเมืองหลวงไปอยู่ในที่ฮวงจุ้ยจะทำให้ประเทศไทยไร้ความขัดแย้งและเจริญรุ่งเรือง

“ถามว่าตรงไหน ตอบไม่ถูกเพราะว่ายังไม่ได้หาพื้นที่กัน แต่องค์ประกอบต้องมีภูเขา มีน้ำ มันถึงจะตั้งเป็นเมืองได้ เหมือนอย่างปุตราจายา (มาเลเซีย) ซึ่งมันมีภูเขาล้อมและเป็นแอ่งกระทะ มันก็จะเป็นพื้นที่ ที่เหมาะมันมีแม่น้ำ ซึ่งมันตั้งเมืองเหมาะ ลักษณะนั้นมันตั้งเป็นแห่งๆ ไป แล้วก็ พัทยา ภูเก็ต เขาใหญ่ก็ได้เป็นบางจุด องค์ประกอบต้องประมาณนี้ เพื่อให้คนที่เข้าไปอยู่มีวิสัยทัศน์ มีความสามัคคี มีความคิดเสียสละเพื่อส่วนรวม เพื่อบ้านเมือง อันนี้มันจะต้องเป็นพื้นที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ ต้องไปหา ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับงบประมาณ หรือขึ้นอยู่กับของฟรี ซึ่งการเมืองหลวงฮวงจุ้ยดีจะทำให้บ้านเมืองสงบ หัวดี หางก็จะดีด้วย” 
ปรมาจารณ์ด้านฮวงจุ้ยกล่าว

ผ่าดวงประเทศไทยปี 2556 มีแต่แย่...!  


เรื่องลับๆ ผ่านไปแล้วก็ถึงเวลาที่หลายคนรอคอย กับข้อสงสัยด้านต่างๆ ในปีหน้าว่าจะเป็นอย่างไร เริ่มต้นด้วยเศรษฐกิจ ซินแสชื่อดังบอกว่า แย่มาก

เศรษฐกิจ - ภาพรวมเศรษฐกิจแย่ทั้งระบบ ส่วนอาชีพไหนที่ดีในปีนี้บอกได้ว่าปัจจุบันไปจนถึงพ.ศ. 2567 รวมแล้ว 20 ปี อสังหาริมทรัพย์ เซ็กเตอร์เกี่ยวกับที่ดิน ที่อยู่อาศัยจะเจริญขึ้นมากๆ รวมทั้งรถยนต์ การเกษตรก็อาจจะมีดีได้บ้าง 



การเมือง – อุตลุดมากจะมีความขัดแย้งกันสูง อาจจะไปไม่ถึงการปฏิวัติรัฐประหาร แต่จะมีความรุนแรงมากๆ เทียบเท่าหรือมากกว่า 14 ตุลา นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไปจนหรือตั้งแต่ตรุษจีนจะอันตรายมาก ประชาชนจะเดือดร้อน
และที่สำคัญปี 2556 นี้ ประเทศไทยจะมีนายกฯ คนใหม่เป็นผู้ชาย มีฐานะ ไม่แก่และก็ไม่เด็กจนเกินไปมาเป็นฮีโร่เปลี่ยนแปลงประเทศไทยแน่นอน

ภัยธรรมชาติ - ปัญหาเรื่องน้ำแล้ง แผ่นดินไหวนี่เป็นหลัก จะมีเรื่องเขื่อนแตกกรุงเทพฯ จะได้รับผลกระทบ ปีมะเส็งเป็นปีแห่งความโชคร้ายทางภัยพิบัติ เนื่องจากวงรอบนี้จะวนมาๆ ทุก ๆ 9 ปี ดังนั้นปี พ.ศ. 2556 ถ้ายังจำกันได้ 9 ปีที่แล้วเกิดเหตุการณ์สึนามิ วงรอบนี้จะกลับมาใหม่ ภาคเหนือกับภาคกลางของประเทศไทยน่าเป็นห่วงมากที่สุด 

ราศีไหนโคม่า - ปีหน้าคือปีงู คนที่เกิดปีงูคือไม่ดี ปีหมู ปีกุน แล้วคนที่รองๆ ลงไปก็จะได้แก่ กระต่าย มังกร คนพวกนี้เนี่ยจะเต็มไปด้วยจะต้องเจอปัญหาอุปสรรคขั้นร้ายแรงสูงสุดนี่คือ ประสบอุบัติเหตุ แล้วก็รุนแรงถึงขั้นล้มหายตายจาก ก็อยากจะให้ระวังกันไว้หน่อย

วันว่างซินแสหมื่นล้าน...! 

ซินแสฮวงจุ้ยคิวทองฝังเพชรผู้นี้ บอกว่า ไม่ค่อยมีวันว่างส่วนใหญ่จะเดินทางช่วยคน ซินแสชื่อดังบอกว่า ส่วนใหญ่ถ้าว่างจริงๆ จะชอบดูหนัง แต่ต้องดูเฉพาะในโรงภาพยนตร์เท่านั้น เพราะมันทำให้เราผ่อนคลายได้ดีการดูหนังเป็นการเอ็นเตอร์เทนต์ที่ง่ายที่สุด เท่าที่จะทำได้ แนวหนังก็ไม่จำกัดผมดูแทบทุกประเภท แต่ที่เน้นก็คือผมชอบดูหนังวันแรกที่เข้าโรง งานอดิเรกอื่นๆ ก็เช่น การสวดมนต์ภาวนา ตนสวดเกือบทั้งวันทั้งคืน เป็นวิชาสายสุวรรณภูมิ 

ปั้นปลายตั้งพรรคการเมืองแห่งความดี... !
เมื่อถามถึงอนาคตหลังจากนี้  อ.หม่า กล่าวทิ้งท้ายว่า จริงๆ ตนมีความคิดอยากจะเลิกเป็นมาหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากปัจจุบันมีคนเดือดร้อนเพิ่มมากขึ้น ทำให้เราเลิกช่วยคนไม่ได้
"จริงๆ อนาคต ตอนนี้ผมกำลังตั้งพรรคการเมืองชื่อ 'พรรคไทยถาวร' ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนดำเนินการ พรรคนี้จะมีแต่ความถูกต้อง ไม่ได้คิดว่าเป็นโน่นนี้ที่สุด หากมีการเลือกตั้งเราก็จะส่งลงแข่งขัน โดยมีผมเป็นที่ปรึกษาของพรรค แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นหวังว่าจะได้เสียงส่วนใหญ่จัดตั้งรัฐบาลหรืออะไร แค่เข้าไปเป็นหางเสือเพื่อบังคับเรือให้เดินทางอย่างถูกต้องก็พอใจแล้ว ที่สำคัญผมบอกตรงนี้เลยว่าแม้จะตั้งพรรคการเมือง แต่ผมสาบานว่าไม่เล่นการเมืองเด็ดขาด หากผิดคำสัญญาก็ขอให้วิชาเสื่อมหมด"
สุดท้ายย้ำว่าสาเหตุหลักที่ประเทศไทยทะเลาะกันไม่สิ้นสุดถึงวันนี้ผมไม่โทษใคร แต่เนื่องจากประเทศไทยมีฮวงจุ้ยที่เสียหาย 99.99 % แบบที่บอกมันเลยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ดังนั้นผมก็อยากจะเรียกร้องให้พวกเราลุกขึ้นมาจัดฮวงจุ้ยประเทศไทยกันเถอะ ดูอย่างสิงคโปร์ มาเก๊า ฮ่องกง ฯลฯ เป็นเกาะแท้ๆ แต่เจริญรุ่งเรืองมากมาย ได้เพราะเอาฮวงจุ้ยเป็นหลัก ประเทศมีทุกอย่างครบอยู่แล้ว แต่กลับไม่ไปไหนดังนั้นก็อยากจะเรียกร้องให้หันมาจัดฮวงจุ้ยประเทศให้ดีกันเถอะ
และนี่คือเศษเสี้ยวส่วนหนึ่งของซินแส นักพยากรณ์ที่โด่งดังที่สุดแห่งยุคคนหนึ่ง อ.หม่า หรือ อ.วรธนัท (ณรงค์) อัศกุลโกวิท.

**รู้หรือไม่ว่า**
1.เคล็ดลับวิธีเสริมความมั่งคั่งของ อ.หม่าก็คือ การนอนหรือนั่งบนสิ่งที่มีความเป็นมงคลเราก็อาจจะเอาเงินสดมาสอดไว้ เท่าไหร่ก็ได้ ถ้าเรามีมากเราก็กองแล้วก็นั่ง แล้วก็นอนทับเงินด้วย เพื่อเสริมสิริมงคลให้ตัวเอง มันเป็นพลัง
2.วิธีเสริมดวงปีนี้ อ.หม่าบอกว่าให้พก เหรียญ 3 กับ เหรียญ 5 ของประเทศจีนพกติดตัวเอาไว้ก็จะปลอดภัย
3.สำหรับข้อห้ามในการเป็นซินแสที่มีวิชาสายสุวรรณภูมิของ อ.หม่า ไม่มีข้อห้ามอะไรเพียงว่าอย่าไปรุกรานคนอื่น อย่าไปทำร้ายใคร รักษาความมีคุณธรรม อย่านอกแถว

















ฮวงจุ้ย อาจารย์หม่า



 การปรับภูมิทัศน์และฮวงจุ้ยรอบทำเนียบรัฐบาล ด้วยปาล์มยะวาต้นสูงปรี๊ด..นับหลายสิบต้น คนเป็นแม่งานที่ชื่อ กอร์ปศักดิ์ สภาวะสุ ต้องรับสายโทรศัพท์ไม่หวาดไม่ไหว เพราะโดนตำหนิจนอารมณ์บ่จอย..จิ๊ดแล้วจิ๊ดอีก..
       
       ยิ่งโดนผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยวิจารณ์ ว่าการนำต้นปาล์มและต้นไทรอังกฤษมาปลูกในทำเนียบฯนั้น..ไม่ดี แถม“เสธฯหูกาง”รองนายกฯ ที่สนิทกับ เดอะโต้ง-กำพล ตันสัจจา ออกมาพูดสวนปราชญ์ฮวงจุ้ยอย่าง“อาจารย์หม่า”ว่า“ไอ้กร๊วก” ด้วยแล้ว
       
       ผู้คนยิ่งอยากรู้ว่า“ไอ้กร๊วก”หรือ“อาจารย์หม่า” ที่“เสธฯหนั่น”เรียกนั้น..เป็นใคร?
       
       “อาจารย์หม่า”มีชื่อจริงว่า “วรธนัท อัศกุลโกวิท” อืม..วรธนัท..หมายถึง“ผู้ร่ำรวยมหาศาล” แต่จะรวยมหาศาลจริงหรือเปล่า..ผมไม่รู้ “อาจารย์หม่า”เป็นคนจังหวัดเพชรบุรี เกิดเมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2484 อายุปัจจุบัน 68 ปี แต่เห็นตัวจริงเสียงจริงแล้ว ดูคล่องแคล่วหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวราวกับคนอายุ 40 กว่าครับ
       
       พ่อ“อาจารย์หม่า”เป็นชาวจีนเซี่ยงไฮ้ เป็นลูกชายเจ้าของบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งในประเทศจีน มาเปิดสาขาที่เมืองไทย โดยมีสาขาที่จังหวัดเพชรบุรีด้วย พ่อได้พบรักกับแม่“อาจารย์หม่า”ซึ่งเป็นลูกคนจีนเหมือนกัน ทั้งคู่แต่งงานอยู่กินกันที่จังหวัดเพชรบุรี มีลูกทั้งหมด 11 คน
       
       แต่เหลือเชื่อ..พี่น้อง10 คน..ตายหมด เหลือ“อาจารย์หม่า”รอดชีวิตมาได้เพียงคนเดียว!
       
       ตระกูล“อาจารย์หม่า”ในประเทศจีนนั้น ศึกษาวิชาฮวงจุ้ยแบบถ่ายทอด-สืบทอดกันมาโดยปู่ของ“อาจารย์หม่า”เป็นนายทหารระดับจอมพลคนหนึ่ง ของประธานาธิบดี“เจียงไคเช็ค”
       
       เมื่อกองทัพจีนแดงบุก..ปู่“อาจารย์หม่า”ที่เป็นทหาร รู้สถานการณ์ว่าเจียงไคเช็คจะต้องพ่ายแพ้“เหมาเจ๋อตุง” จึงสั่งให้ลูกหลานอพยพไปอยู่ยังที่ต่างๆ บางคนไปอยู่อเมริกา-อังกฤษ-มาเล
       เซีย ในขณะที่พ่อ“อาจารย์หม่า”ตัดสินใจมาอยู่ในประเทศไทย
       
       ปู่“อาจารย์หม่า”นี่แหละที่มีความรู้ในศาสตร์วิชาฮวงจุ้ย“เต๋าหมวกดำ” ที่ถือกันว่า..เป็นศาสตร์วิชาฮวงจุ้ยชั้นสูง ที่ถ่ายทอดกันเฉพาะจักรพรรดิและขุนนางจีนชั้นสูงเท่านั้น ปู่ได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้พ่อของ“อาจารย์หม่า”
       
       หลังจากนั้นพ่อ“อาจารย์หม่า”ก็ได้ถ่ายทอด ศาสตร์วิชาฮวงจุ้ยนี้ให้กับลูกชายคนเดียวอีกทอดหนึ่ง อายุเพียงแค่ 13 ปี “อาจารย์หม่า”ก็เรียนศาสตร์แห่ง“พลัง”แล้ว โดยเฉพาะหลังเรียนจบจากคณะวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ “อาจารย์หม่า”ก็ไปเรียนวิชาฮวงจุ้ยต่อ ที่ฮ่องกง-กวางตุ้ง-ปักกิ่ง-อินเดีย-ทิเบต ฯลฯ
       
       “อาจารย์หม่า”ยังเรียนเรื่องกำลังภายใน-รำมวยจีน-ฝังเข็ม เรียกว่า..เรียนทุกอย่างที่เกี่ยวกับเรื่องของพลังทั้งหมดกว่า 30 ปี ภายหลัง“อาจารย์หม่า”ยังได้ศึกษาเรื่องราวพุทธประวัติ และพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ กับพระอรหันตธาตุที่ประเทศพม่า-มอญ-เขมรอีกด้วย
       
       ชื่อเสียง“อาจารย์หม่า”มาฉายแสงเจิดจ้าเป็นที่ยอมรับ เพราะญาติที่ฮ่องกงและจีนของ“อาจารย์หม่า” ซึ่งเป็นหมอฮวงจุ้ยที่มีชื่อเสียง ในวงการนักการเมืองและดาราสมัย“ชอว์ บราเดอร์” ได้แนะนำงานดูฮวงจุ้ยให้กับ“อาจารย์หม่า”ได้โชว์ฝีมือจนโด่งดัง
       
       ราคาค่างวดในการดูฮวงจุ้ยเขาคิดกันอย่างไรน่ะหรือ? สำหรับนอกประเทศมาตราฐานของ “หมอดูฮวงจุ้ย” เขาคิดกัน 3 ชั่วโมง ราคา 80,000 เหรียญฮ่องกง หรือคิดเป็นเงินไทยก็ราว 400,000 บาทครับ
       
       ผลงานดูฮวงจุ้ย“อาจารย์หม่า”น่ะหรือ? มีทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศมากมาย
       
       ดูผลงานต่างประเทศสักนิดก่อน “อาจารย์หม่า”เป็นคนดูฮวงจุ้ยให้สายการบิน British Airways และธนาคาร Standard Chartered ในประเทศอังกฤษ โรงแรม Grand Hyatt กับสถานทูตไทยในประเทศสิงคโปร์ ตลาดหลักทรัพย์ของฮ่องกง คาสิโนลิสบัวในมาเก๊าและคาสิโนของประเทศลาว เมืองราชการในปุตราจาย่า ประเทศมาเลเซีย
       
       ส่วนในประเทศไทยน่ะหรือ..เยอะมากจนลงไม่หมดแน่ เอาที่ใหญ่ๆและหลักๆ ก็แล้วกัน เช่น ศาลหลักเมืองกรุงเทพมหานคร กระทรวงนั้นมีทั้งกลาโหม-คลัง-เกษตรและสหกรณ์-สาธารณสุข กรมสรรพสามิต กองบัญชาการทหารสูงสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็มี..กองปราบปราม-กองบังคับคดี-ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร รวมทั้งอีกหลายกองบังคับการของตำรวจและทหาร
       
       สนามบินสุวรรณภูมิ สำนักงานสลากกินแบ่ง ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ การบินไทย การปิโตเลียมแห่งประเทศไทย ห้างสรรพสินค้าพารากอน โรงหนังเครือเมเจอร์รามคำแหงและสุขสวัสดิ์ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ ธนาคารออมสิน ธนาคารเอสเอ็มอี โรงพยาบาลกลาง โรงแรมIntercontinental Bangkok โรงแรมเมโทรโพลิแทน โรงแรมทวินโลตัส โรงแรมยามาโต้ ตึกช้าง และสวนสัตว์เชียงใหม่ ฯลฯ
       
       อ้อ..สถานที่ราชการทั้งทำเนียบรัฐบาล สภา สนามม้า สนามบินสุวรรณภูมิฯลฯ “อาจารย์หม่า”บอกดูฮวงจุ้ยให้ฟรีๆ แน่นอน..ดูให้เอกชนนั้นไม่ฟรีนะครับ เพราะ“อาจารย์หม่า”บอกเอาเงินคนรวยไปช่วยคนจน สร้างสะพาน สร้างวัด สร้างพระ ฯลฯ
       
       งานหลักหรือรายได้จากการดูฮวงจุ้ยของ“อาจารย์หม่า”ตอนนี้ อยู่ที่ฮ่องกง มาเลเซีย สิงคโปร์ครับ
       
       ต้องบอกว่า..ผมไม่ได้สนิทสนม หรือมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับคนชื่อ“วรธนัท อัศกุลโกวิท”ทั้งสิ้น อีกทั้งไม่มีเงินทองมากพอที่จะจ้าง“หมอดู”คนไหนมาดูฮวงจุ้ยที่บ้าน และไม่มีธุรกิจใหญ่โตอะไรให้ต้องพึ่งหมอดูฮวงจุ้ยอย่าง”อาจารย์หม่า”นะครับ
       
       ทว่า..ผมเชื่อว่า..ศาสตร์อะไรก็ตามที่มีมาแต่โบราณนั้น ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่..แต่ก็อย่างมงายลุ่มหลงมัวเมา จนโดน“หมอดูฮวงจุ้ยเก๊”หลอกต้มเงินทองจนหมดตัว
       
       การเขียนเรื่องนี้เพียงเพื่อจะบอกให้รู้ว่า คนที่“เสธฯหนั่น”ปากไวเรียก“ไอ้กร๊วก”นั้น เขาเป็นคนมีความรู้ในศาสตร์วิชาฮวงจุ้ย ระดับปรมาจารย์คนหนึ่งของโลกครับ
       
       ส่วนการจัดฮวงจุ้ยในทำเนียบรัฐบาลนั้น รับรู้กันเป็นภายในว่า..มารดาของท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ขอร้องให้“อาจารย์หม่า”ช่วยถึง 3 ครั้ง ก่อนที่“อาจารย์หม่า”จะถ่อสังขารไปจัดวางฮวงจุ้ยที่ตึกไทยคู่ฟ้า เพื่อให้นายกฯมาร์คที่อ่อนแอเพิ่มพูนพลังมากขึ้น..มากขึ้น..
       
       การเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยโดยไม่มีการปรึกษากับ“อาจารย์หม่า”สักคำ ที่สำคัญเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยแล้วบ้านเมืองดี..ไม่ว่ากัน แต่หากเปลี่ยนแปลงฮวงจุ้ยด้วยความไม่รู้-ไม่เข้าใจ แล้วเป็นผลในทางลบ เป็นอันตรายต่อชาติบ้านเมือง “อาจารย์หม่า”บอก“อั้วไม่ยอม”
       
       คำวิพากษ์วิจารณ์แห่งศาสตร์ฮวงจุ้ยของ“อาจารย์หม่า” ผมไม่มีความรู้อันถ่องแท้ในเรื่อง
       ฮวงจุ้ยครับ แต่ที่แน่ๆ..หลังปรับภูมิทัศน์ด้วยการให้ต้นปาล์มสูงๆ ชูต้นโด่เด่บดบังตึกสวยๆ อย่างทำ
       เนียบฯตึกไทยคู่ฟ้า คนที่เป็นแม่งานอย่างทั่น“กอร์ปศักดิ์”เลยโดนด่าเละเทะเลยครับ
       
       จะด้วยเหตุใดไม่ทราบได้..ข่าวล่ามาเร็วรายงานว่า ทางทำเนียบฯกำลังจะเอาต้นปาล์มยะวาที่ทำลายความงามของตึกไทยคู่ฟ้าออกอย่างเร่งด่วนแล้วครับ
       
       ขอบคุณ..เพราะงานนี้คนไทยจะได้ความงามของชาติ กลับคืนสู่ทำเนียบรัฐบาลตึกไทยคู่ฟ้าอีกครั้ง เรื่องนี้ไม่มีใครแพ้-ใครชนะ มีแต่เดอะโต้ง..กำพล ตันสัจจา ที่ต้องเหนื่อยกับการก้มๆ เงยๆ ยกต้นไม้ “ลงหลุม-ขึ้นหลุม”เท่านั้นครับ
       
       อ้อ..“เสธฯ หนั่นหูกาง”ก็ได้นะครับ..ได้พูดพล่อยๆ ว่า“ไอ้กร๊วก”ไงล่ะครับ