วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

วันจันทร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตำนานผีไทย

uploaded 6mnvt8mw

ณรงค์ โชคชัยณรงค์ พ่อค้าเพชร รีเจนซี่

ความเป็นมาและที่กำลังจะเป็นไปของ "รีเจนซี่" บรั่นดีไทย เป็นเรื่องราวของลูกวัวที่ไม่เคยรู้ว่าแม่เสือนั้นรูปร่างเป็นอย่างไร ดุร้ายน่าหวาดกลัวเพียงไหน จึงหาญกล้าเข้าไปคลุกเคล้าหยอกล้อราวกับว่าเป็นแม่ของตนต่อเมื่อผ่านพ้นและได้รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองได้เคลียคลอนั้นคือแม่เสือร้าย ก็อดถามตัวเองไม่ได้ว่า "แล้วมันรอดตายมาได้อย่างไรกัน"
ชื่อของณรงค์ โชคชัยณรงค์ ไม่เคยแผ้วพานปรากฏในสารบบของคนค้าเหล้ามาก่อนเขาไม่อาจจัดอยู่ในทำเนียบมือเซียนได้แม้แต่น้อย แต่ถ้าเอ่ยชื่อนี้ในวงการค้าเพชรพลอยแล้วละก็เป็นต้องร้องอ๋อ เขานี่แหละมือเซียนชั้นปรมาจารย์คนหนึ่งทีเดียว
เมื่อณรงค์เจียระไนความคิดที่อยากจะผลิตสุราชนิดหนึ่งโดยที่ไม่ขอเลียนแบบแม่โขงประมาณปี 2518 โดยจะผลิตเป็นสุราชั้นสูงให้กับเพื่อนฝูงและคนสนิทชิดเชื้อฟัง สิ่งที่เขาได้รับตอบกลับมาคือคำพูดว่า "อยู่ดี ๆ ไม่ชอบคิดจะฆ่าตัวตายอย่างนั้นหรือ"
เพราะนอกจากจะต้องออกแรงราวีอย่างหนักกับบรั่นดีนอกที่คุณภาพย่อมเหนือกว่าช่วงตัวแล้วก็เป็นที่รู้กันว่า การลงทุนผลิตบรั่นดีต้องใช้งบค่อนข้างสูง กอปรกับบ้านเราในขณะนั้นยังขาดแคลนองุ่นพันธุ์ดีที่จะนำมาทำบรั่นดีโดยตรง และนี่คือบทสรุปที่ทุกคนบอกว่าณรงค์กำลังจะเสียบดาบปักท้องตัวเอง
อย่าว่าแต่คนรู้จักเขาเลย แม้แต่เมื่อเขาเสนอแบบขวดที่เป็นอยู่ในปัจจุบันไปยังกรมสรรพสามิต ก็ไม่วายที่จะถูกกระแซะแกมปลงอนิจจังว่า "สงสัยอยากจะเร่งวันตายเร็วขึ้น" ทั้งนี้เนื่องจากมาจากแบบขวดไม่เหมาะกับบรั่นดีนัก คือคนกินจะเกิดอาการหลอนตลอดเวลากินเท่าไร ๆ ก็ไม่หมด สงสัยจะเป็นบรั่นดีชั้นปลายแถว
แต่ณรงค์ไม่ใส่ใจกับคำพูดเหล่านั้น เขากล้าที่จะเป็นคนทำเหล้าคนแรกที่เข้าไปขอรับการส่งเสริมจาก บีโอไอ. ตอนนั้นแสงโสม หรือแม่โขงที่พร้อมจะผลิตได้ และเป็นคนรู้เรื่องเหล้าชนิดถึงกึ๋นยังไม่คิดที่จะแหยมเข้าไปท้าทายบรั่นดี
"เขาเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง คิดว่าสามารถผลิตบรั่นดีคุณภาพไม่แพ้ของนอกได้ เมื่อใจสู้แล้วต่อให้คมหอกคมดาบจ่ออยู่ตรงหน้าก็ไม่กลัว เขาเลยตัดสินใจตั้งโรงงานเมื่อปี 18 และก็เป็นจุดเริ่มแรกที่คนไม่เคยกินเหล้าอย่างเขาต้องหันมากินเหล้า" ผู้ใกล้ชิดของเขากล่าวกับ "ผู้จัดการ" และบอกด้วยว่ารสนิยมละเลียดบรั่นดีของเขาชอบผสมโค้ก แต่เดี๋ยวนี้เล่นแบบเพียวๆ
เมื่อนำออกตลาดซึ่งขณะนั้นมีบรั่นดีจากนอกเข้ามาขายนับสิบยี่ห้อ ปรากฏว่า "รีเจนซี่" บรั่นดีไทยตัวนี้แทบจะไร้คนมอง ณรงค์เองเจอะเจอใคร ๆ ก็ได้แต่บ่นว่า "จะตายแล้ว ไม่ไหวแล้ว" ทว่าคนอย่างเขาเข้าประเภทยอมหักไม่ยอมงอเลยยิ้มสู้มาโดยตลอด
รีเจนซี่เริ่มมาเป็นที่รู้จักและมีคนดื่มพอเป็นกระสายบ้างก็ในราวปี 2525 ซึ่งเป็นปีที่ณรงค์ยอมตัดสินใจทุ่มสินค้าของตนโปรโมทตามงานต่างๆ แบบชนิดให้เปล่า โดยไม่คิดมูลค่าแต่อย่างใด เขาหวังแต่ว่า อยากให้คนได้รู้จักว่ายังมีบรั่นดีไทยอีกตัวหนึ่งนะที่คุณน่าลอง
แหล่งข่าวในวงการสุราเผยกับ "ผู้จัดการ" ว่า ในสมัยที่ พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยความพิสมัยในบรั่นดีและเป็นนักดื่มตัวยง ทำให้ณรงค์สามารถเข้าถึงตัวอดีตนายกฯคนนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น และนั่นเขาก็เริ่มวางพื้นฐานให้แข็งแกร่ง เรียกว่าขอส่งเสริมอะไรจากภาครัฐบาลเป็นไม่เคยได้รับคำปฏิเสธ
ยอดขายของ "รีเจนซี่" ตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมาอยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 4 ของบรั่นดีในตลาด ซึ่งเรียกว่าน้อยสิ้นดีจนถึงปี 2528 เริ่มพุ่งสูงขึ้น และมาในปี 2529 ที่วงการสุรากำลังประสบความระส่ำระสายอย่างหนัก รีเจนซี่ที่ราคาไม่สูงกว่าแม่โขงเริ่มเป็นที่ได้รับการยอมรับ จากการวางขายที่เคยเน้นหนักเฉพาะสโตร์ เริ่มกระจายเข้าไปตามร้านค้าต่าง ๆ มากขึ้น
ตัวเลขล่าสุดจากกรมสรรพสามิตบอกว่า รีเจนซี่ก้าวขึ้นมาผงาดอย่างวีระอาจหาญไม่น้อยหน้าใครอีกแล้ว ยอดขายสูงถึงร้อยละ 70 ของสุราในตลาด ณรงค์ที่เคยส่ายหน้าว่า "ไม่ไหว" วันนี้ถ้าใครได้พบจะเห็นก็แต่รอยยิ้มอันเปี่ยมสุข และดวงตาที่เปล่งประกายเจิดจรัสถึงความหวังอันเรืองรองต่อไปในอนาคต
และเพื่อเฉลิมฉลองความสำเร็จโอฬาร ปีนี้จึงเป็นปีแรกที่ "รีเจนซี่" โหมทุ่มงบโฆษณาผ่านมีเดีย ที.วี. อย่างหนักซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะก่อนนั้นจะเน้นหนักเฉพาะตามหน้านิตยสารไม่กี่ฉบับเท่านั้น
"ณรงค์ต้องการฉวยจังหวะนี้อัดชื่อรีเจนซี่ให้เป็นที่แพร่หลายทั่วทั้งประเทศ และเพื่อให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ตลาดแผนใหม่ของเขาที่เริ่มลุยอย่างหนักโดยขณะนี้นำเอารีเจนซี่ไปลงตามร้านอาหารตามปั๊มน้ำมันต่างๆ ทั่วภาคเหนือ และจะขยายออกไปในภาคอีสานเร็ว ๆ นี้ เส้นกราฟการขายคาดว่าจะต้องสูงกว่าปีก่อนอีกเท่าตัว" แหล่งข่าวผู้หนึ่งเผยกับ "ผู้จัดการ"
นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวออกมาอีกว่า ณรงค์เตรียมโครงการที่จะขยายกำลังการผลิตครั้งใหญ่ โดยได้สั่งองุ่นพันธุ์ดีจากฝรั่งเศสมาส่งเสริมให้ชาวสวนปลูก พร้อมกับตั้งราคาประกันรับซื้อทั้งหมด ซึ่งองุ่นที่ส่งเสริมนี้ณรงค์ต้องการที่จะนำเอามาทำไวน์ชนิดพิเศษแบบฝรั่งเศส ซึ่งเป็นไวน์มาตรฐานที่ผลิตกันมาตั้งแต่สมัยพระเยซู (ว่าเข้านั่น) โดยใช้องุ่นล้วน ๆ ไม่ต้องมีสารผสมแต่อย่างใด
"ไวน์ตัวนี้แหละที่เป็นความหวังสุดยอดของเขา" คนในกรมสรรพสามิตกล่าวกับ "ผู้จัดการ"
หยดต่อหยดที่ผ่านการเรียนรู้ ผ่านประสบการณ์อันเจ็บปวดลึก ๆ ปีแล้วปีเล่าเพื่อผลิตเหล้าอย่างดีออกมาให้คนดื่มคนค้าเพชรอย่างณรงค์ก็ได้แต่หวังไว้ว่า สักวันหนึ่งที่คุณได้ลองจิบสุราของเขาคุณอาจทนไม่ไหวที่จะขอจิบหยดต่อไป...และต่อไป
   

ณรงค์ โชคชัยณรงค์ รีเจนซี่

ณรงค์ โชคชัยณรงค์ เกิดเมื่อปี 2467 มารดาชื่อแต้สี บิดาชื่อจินซุ้ย ถ้าไม่มีเขา ชื่อ "บรั่นดีรีเจนซี่" ก็คงไม่ได้เกิดขึ้นมาในวงการน้ำเมานี้ ชีวิตของณรงค์เริ่มต้นอย่างลำบากยากเข็ญในชีวิตวัยเด็กที่เดินทางจากแผ่นดินจีนสู่ใต้ร่มเงาของแผ่นดินไทย ในช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง
ขณะนั้นณรงค์ที่ยังคงใช้ "แซ่เฮ้ง" เพิ่งจะมีอายุรุ่น ๆ เพียง 13-14 ปี เริ่มต้นชีวิตในเมืองไทยด้วยการทำงานเรียนรู้เป็นช่างเจียระไนเพชรพลอยในร้านค้าเพชรย่านหัวเม็ด ความมานะพยายามที่มีแววเฉลียวฉลาด ได้ส่งประการดุจเพชรน้ำเอกที่ทำให้ชีวิตของหนุ่มชาวจีนได้พบรักกับบุตรสาวเศรษฐีเจ้าของร้านเพชรแซ่เบ๊
พ่อตาอย่างปรีชา อัศวปรีชาได้ยินยอมยกสุทธิวรรณ อัศวปรีชา ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนให้แก่ณรงค์ และปรีชาก็ไม่ผิดหวังในหนุ่มคนนี้ เพราะในเวลาต่อมาณรงค์ได้พิสูจน์ถึงสายเลือดของนักสู้ชิวตที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา จนกระทั่งตัวเองประสบความสำเร็จ
เขาได้กลายเป็นตำนานของแจ๊กผู้หาญฆ่ายักษ์แม่โขงในฐานะผู้เข้ามาใหม่ด้วยบรั่นดีรีเจนซี่ หลังจากสะสมทุนรอนมหาศาลจากกิจการค้าเพชรและรับเหมาก่อสร้างตึกแถวที่สามย่านอันเป็นที่ทรัพย์สินของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
"ญาติคุณณรงค์ชอบสะสมบรั่นดีคอนญักมาก และคุณณรงค์ก็ชอบทานบรั่นดี ตอนหลังเขาไม่ทานมากเพราะว่าระวังเรื่องสุขภาพตอนที่เข้ามาในวงการนั้น คุณณรงค์ชอบและหลงเสน่ห์ บรั่นดีและอันไหนที่จิบแล้วไม่ถูกใจก็ติ คนเขาก็ว่าติมากก็ทำเองสิ" ด้วยคำท้าทายนี้เองแหล่งข่าวเล่าให้ฟังว่า ณรงค์ได้ตัดสินใจทุ่มเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการค้าเพชรและรับเหมาก่อสร้างไปลงทุน
ณรงค์ก้าวเข้ามาในยุทธจักรน้ำเมาที่เป็นธุรกิจการเมืองตั้งแต่ปี 2515 โดยรู้อยู่เต็มอกว่าโอกาสเกิดนั้นต้องเจ็บปวดและทรมาน ไม่มีใครยอมรับรีเจนซี่ในระยะแรก แต่ด้วยใจนักสู้ที่ถือเอาความสุจริตใจเป็นที่ตั้งบวกกับสายสัมพันธ์ทางการเงินที่มีแบงก์กรุงเทพหนุนหลังเต็มที่ ก็ทำให้ณรงค์กล้าก้าวเข้ามาเป็นผู้ผลิตบรั่นดี ด้วยเจตนาที่ยึดถือคุณภาพเป็นจุดแข็งทางการขายและการตลาด
"เดิมณรงค์เขากินเหล้าไม่เป็น แต่ตอนที่รีเจนซี่รุ่นแรก ๆ ขายไม่ได้เลยแกกินของแกเอง จนหน้าแดงก่ำ คิดดูสิ กว่าจะติดตลาดนี่ยาก เพราะต้องทำโฆษณาการตลาดต่อเนื่อง แต่ณรงค์แกเป็นคนโฆษณาไม่เป็น พูดแต่ว่าของผมดี ๆ แล้วใครจะไปรู้ล่ะ" ผู้ใหญ่ในกรมสรรพสามิตเล่าให้ฟัง
ด้วยเหตุนี้ในปี 2534 ณรงค์จึงทุ่มงบโฆษณาวาระครบรอบ 20 ปี ของรีเจนซี่ บรั่นดี ทางสื่อมวลชนทุกแขนง เพื่อสร้างภาพพจน์สินค้าที่ผลิตโดยคนไทย เพื่อคนไทย
"ณรงค์เขามีความเป็นคนจีนที่เป็นคนไทย ยิ่งกว่าคนไทยบางคนเสียอีก" ชีวิตที่ได้รับโอกาสการทำมาหากิน สายสัมพันธ์ธุรกิจกับผู้หลักผู้ใหญ่อาทิพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรีผู้พิศมัยการจิบบรั่นดีและต้องการช่วยเหลือชาวไร่องุ่นที่ประสบปัญหาผลผลิตราคาตกต่ำ ทำให้การขอรับการส่งเสริมโรงงานของณรงค์ในเวลาต่อมาได้รับการสนับสนุนอย่างดีทั้งจากหน่วยราชการและกรมสรรพสามิต"
"แกเป็นคนไม่โกงภาษี ถึงไม่มีเงินเพราะขายของไม่ได้ แกก็ไปกู้มาให้" ผู้บริหารในกรมสรรพสามิตเล่าให้ฟังถึงอดีต แต่ปัจจุบันเมื่อปลายปี 2533 บริษัทได้จ่ายภาษีสรรพสามิตทั้งสิ้น 114.5 ล้านบาทเพราะขายดีมีรายได้ถึง 831.7 ล้านบาท
การรู้จักใช้ความกตัญญูรู้คุณที่ไปมาหาสู่มิเคยขาดในโอกาสสำคัญ ๆ เช่นวันเกิด วันขึ้นปีใหม่ ทำให้ณรงค์มีวันนี้ได้
"เขาเป็นคนไทยเคยลืมบุญคุณใคร ขนาดพลเอกเกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์หมดอำนาจไปแล้ว แกก็ยังไปหาอยู่บ่อย ๆ หรือรมว.สมหมาย ฮุนตระกูล ซึ่งเคยอนุมัติเพราะเห็นว่าโครงการนี้ดี ณรงค์เห็นว่าเป็นลายมือของท่าน แกก็ต้องไปหาทั้ง ๆ ที่ท่านไม่รู้ว่าช่วยเลย" แหล่งข่าวในกรมสรรพสามิตเล่าให้ฟังถึงเสน่ห์ของณรงค์ที่ชอบไปหาคนเกษียณอายุแล้วเพื่อป้องกันข้อครหาว่าประจบสอพลอผู้ใหญ่
แต่เหตุการณ์ครั้งหนึ่งที่ทำให้ณรงค์เสียใจมากก็คือ สายสัมพันธ์อันเก่าแก่กับคีเซ่งเฮงต้องขาดสะบั้นลง คีเซ่งเฮงเป็นเอเยนต์รีเจนซี่ในจังหวัดโคราชมานานกว่า 17 ปี เถ้าแก่คีเซ่งเฮงจะรักและช่วยเหลือณรรงค์มากตั้งแต่เริ่มต้นยุคบุกเบิกตลาดมาด้วยกัน จนมียอดขายรีเจนซี่สูงสุดในประเทศ ความนับถือที่ทั้งคู่มีให้กันเสมือนหนึ่งญาติ แต่เมื่อเถ้าแก่คีเซ่งเฮงได้เสียชีวิตลง ความคิดเห็นเรื่องผลประโยชน์เริ่มแตกต่างจากเดิม ยิ่งมีเรื่องบริษัทเรียกเงินค้ำประกันหรือ "แตะเต้ย" 7 ล้านบาทเพื่อช่วยด้านขยายกำลังผลิตทางคีเซ่งเฮงได้เป็นหัวเรือใหญ่คัดค้านแม้ได้มีการพูดคุยกันแล้วก็ตาม ในที่สุดคีเซ่งเฮงก็ขอเลิกเป็นเอเยนต์
"เป็นเรื่องที่ณรงค์เสียใจจนถึงทุกวันนี้ มักจะบ่นกับคนใกล้ชิดเสมอว่าเสียดายความสัมพันธ์อันดีที่มีต่อกัน" แหล่งข่าวสาร
ณรงค์มีบุตรธิดาทั้งสิ้น 5 คนเป็นลูกชายหัวปีท้ายปีคือ ดิเรกและกรีติ์กนิษฐ์ และลูกสาวสามคนคือ ศุภสร พรจันทร์ และศันสนีย์ ซึ่งแต่ละคนก็ล้วนแล้วแต่ได้รับการศึกษาจากต่างประเทศ ตั้งแต่ยังเล็กที่สิงคโปร์ และจบระดับปริญญาจกสหรัฐอมเริกาโดยมีคุณแม่อย่างสุทธิวรรณตามไปคอยดูแล ในทางนิตินัยสุทธิวรรณยังคงใช้คำนำหน้าชื่อว่า "นางสาว สุทธิวรรณ อัศวปรีชา" เสมอ ๆ จนกระทั่งปัจจุบัน
ดิเรก โชคชัยณรงค์ บุตรชายคนโตของณรงค์ทีเรียนจบด้านวิศวเคมีโรงงานจากเมริกาก็ถูกวางตัวให้เป็นทายาทสืบภารกิจนี้ต่อจากพ่อ ปัจจุบันดิเรกเป็นรองกรรมการผู้จัดการและดูแลการผลิตและด้าการตลาดด้วย ส่วนศุภสรหรือที่นิยมเรียกชื่อเล่นว่า "รุ้ง" ผู้มีพื้นฐานจบจากด้านกราฟิกดีไซน์ก็ถนัดคุมงานการส่งเสริมด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์ พรจันทร์หรือ "ปาน" ดูแลด้านบัญชีการเงิน ส่วนลูกสาวอีกคนก็กำลังศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์ และลูกชายคนเล็กขณะนี้เล่าเรียนด้านการบริหารธุรกิจการตลาดอยู่
ชีวิตทุกวันนี้ ณรงค์ทุ่มเทให้กับการทำงานมาก จะไปโรงงานทุกวันแม้จะเดินไม่ค่อยไหว ทุกเช้า 10 โมงถึงบ่ายสี่โมงเย็นณรงค์จะขลุกอยู่ในโรงงานสุราวิเศษสุวรรณภูมิที่จังหวัดนครปฐม แม้จะล่วงเลยถึงวัย 67 ปี ชายร่างอ้วนใหญ่คนนี้ก็ยังหมั่นดูแลกิจการ
ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจอยู่ตราบนั้นเขาจะไม่ยอมหยุดทำงานจากชีวิตที่ต่อสู้ด้วยสองมือเปล่า วันนี้ชีวิตณรงค์ โชคชัยณรงค์มีกำไรแล้ว
   

รีเจนซี่ บรั่นดีไทย

รีเจนซี่ เป็นบรั่นดีไทยที่เริ่มจากอุตสาหกรรมครอบครัวของตระกูล "โชคชัยณรงค์" ที่มีมานะสร้างโรงงานผลิตบรั่นดีจากผลผลิตชาวไร่องุ่นไทย เพื่อทดแทนสินค้าต่างประเทศอันมีมูลค่านำเข้าปีละพัน ๆ ล้านบาท ขณะเดียวกันก็ต้องแข่งกับโรงงานสุราในสัมปทานของรัฐสองค่ายยักษ์ใหญ่ทั้งเหล้าแม่โขงและเหล้าตระกูลหงส์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจผูกขาดใหญ่ภายใต้สภาวะกดดันของสงครามการตลาดเหล้าที่ชิงไหวชิงพริบกันถึงพริกถึงขิงนี้ กรณีตัวอย่างของการเติบโตในอัตราก้าวกระโดดปีละ 30-40% ของบริษัทนี้จึงเป็นเรื่องราวที่ไม่ธรรมดา ?!
ในวงการน้ำเมา การเกิดของบรั่นดี "รีเจนซี่" มีความหมายอยู่สิ่งหนึ่งคือ การมองข้ามความเติบโตที่ผ่านมาของบรั่นดีรีเจนซี่ในสายตาของค่ายแม่โขงและตระกูลหงส์ จนกระทั่วเมื่อเร็วๆ นี้ทางการอนุมัติให้ขยายกำลังผลิตได้ จึงเกิดคำถามขึ้นว่าความเติบโตของรีเจนซี่เช่นนี้เป็นความน่ากลัวหรือไม่
ช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นปีละไม่ต่ำกว่า 10% ทำให้คนไทยกล้าใช้จ่าย กล้ากินและกล้าดื่มกินมาก พฤติกรรมการดื่มสุราคำนึงถึงคุณภาพมากขึ้นแม้จะมีราคาแพงกว่า ด้วยเหตุนี้จึงทำให้รีเจนซี่ บรั่นดีไทยขายดีเป็นเทน้ำเทท่า และแรงสงจากการเปิดผับเหล้าขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ดในปี 2532 ทำให้เพิ่มสถานที่จำหน่ายสุราให้กว้างขวางออกไปอีก
ฉะนั้นยอดขายรีเจนซี่ นับตั้งแต่เศรษฐกิจฟื้นตัวในปี 2529 ถึงปี 2533 จึงมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึงปีละ 30-40% ยิ่งปี 2530 ยอดขายได้ก้าวกระโดดสูงกว่าปีก่อนหน้านี้ถึง 54% โดยดูจากผลการดำเนินงานของบริษัทโรงงานสุราพิเศษสุวรรณภูมิผู้ผลิตและจำหน่ายบรั่นดีรีเจนซี่ดังต่อไปนี้
ปี 2529 ยอดขาย 151,602,063 บาท
ปี 2530 ยอดขาย 329,583,303 บาท
ปี 2531 ยอดขาย 497,850,826 บาท
ปี 2532 ยอดขาย 686,056,946 บาท
ปี 2533 ยอดขาย 831,754,110 บาท
ยอดขายที่พุ่งขึ้นสูงเกือบพันล้านบาทต่อปี มีเบื้องหลังอยู่ที่ความพยายามไม่ต่ำกว่ายี่สิบปีของ "ณรงค์ โชคชัยณรงค์" เจ้าของบริษัทโรงงานสุราพิเศษสุวรรณภูมิแห่งนี้ ที่มีวัตถุประสงค์ต้องการผลิตบรั่นดีให้มีคุณภาพทัดเทียมของต่างประเทศ แม้จะต้องประสบปัญหาอุปสรรคยากลำบากมาก
ยุคต้น ๆ ของตลาดสุราไทยนั้นมีแนวคิดผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ อยู่สองทางคือ หนึ่ง-ผลิตเหล้าขาว 28 ดีกรีซึ่งลงทุนน้อยแต่ให้กำไรมาก หรือสอง-ผลิตเหล้า 35 ดีกรีซึ่งมีเหล้าแม่โขงเป็นยักษ์ใหญ่ได้สัมปทานอยู่ตั้งแต่ปี 2503 และครองใจนักดื่มไทยจึงมีผู้ประกอบการหลายคนพยายามทำเลียนแบบเหล้าแม่โขง
อย่างไรก็ตามในระยะแรกโรงงานสุราพิเศษสุวรรณภูมิ ซึ่งก่อตั้งบริษัทในปี 2531 นั้นตั้งใจจะผลิตสุราจีน "เกาเหลียง" แต่ต้องประสบปัญหาระหว่างผู้ถือหุ้นซึ่งได้แก่กลุ่มนายตำรวจกับพ่อค้าจีน จนต้องมีการเปลี่ยนกรรมการบริหารใหม่ เป็น พ.ต.อ.อรรณพ พุกประยูรเป็นกรรมการผู้จัดการ และได้ดึงพล.ต.อ.พจน์ เกกะนันท์ และพล.อ.สม ขัตพันธ์มาเป็นที่ปรึกษาด้วย
อุปสรรคที่ทำให้สุราเกาเหลียงไม่สามารถผลิตออกขายได้ภายในกำหนดเดือนสิงหาคม 2515 คือปัญหาด้านการก่อสร้างซึ่งเอ็กคุ้น แซ่เฮ้ากรรมการบริหารเป็นผู้ดูแล โรงงานปลูกสร้างไม่มั่นคง แข็งแรงหลังคาแอ่นและพื้นยุบ และเหลื่อมล้ำเข้าไปในที่ดินคนอื่น รวมทั้งกว่าจะได้รับมอบงานก่อสร้างเสร็จก็สิ้นปี 2515 แล้ว
นอกจากนี้ปัญหาด้านเครื่องจักรที่เอ็กคุ้นสั่งทำไปนั้นก็มีขนาดเล็กเกินไปและขาดเงินสดดำเนินการต่อไป
แต่เหนือสิ่งอื่นใด เมื่อผู้บริหารสำรวจตลาดค้าสุราเกาเหลียงแล้วต้องผิดหวัง เพราะตลาดมีไม่ถึง 10% ของรายงานที่เอ็กคุ้นกรรมการบริหารทำไว้
ในที่สุด ทิศทางและเป้าหมายของบริษัทก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป ผู้บริหารบริษัทตัดสินใจเปลี่ยนเป็นโรงงานผลิตสุราบรั่นดีและวิสกี้แทน ทำให้ต้องเสียเวลาขอเปลี่ยนในอนุญาตอยู่นานถึง 5 เดือน และเพิ่มทุนขึ้นจาก 5 ล้านเป็น 7.5 ล้านบาทในปี 2515
จังหวะนี้เองที่ทำให้พ่อค้าเพชรอย่าง "ณรงค์ โชคชัยณรงค์" ก้าวเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้บริหารบริษัท ดูแลควบคุมด้านการเงิน เช่นค่าวางประกันกรมสรรพสามิต 5 แสนบาท และได้ควักเงินส่วนตัวทดรองจ่ายเงินหมุนเวียนในบริษัทอีกนับล้านกว่าบาทในระยะแรกเริ่ม มีการเพิ่มทุนเพื่อแก้ปัญหาขาดทุนและขยายกิจการเรื่อยมา จนกระทั่งปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 90 ล้านบาท แต่เมื่อโรงงานเริ่มเดินเครื่องผลิตบรั่นดีได้แล้ว กระบวนการกลั่นและบ่มบรั่นดีต้องกินเวลานานนับ 3 ปีกว่าจะได้ขาย
ในช่วงต้น ๆ นั้นตลาดสุราผลไม้ อันได้แก่เหล้า ไวน์ บรั่นดี ลิเคียว มีเพียงรายเดียวคือบริษัทประมวลผลซึ่งเป็นกิจการเก่าแก่ตั้งเมื่อปี 2497 ด้วยเหตุที่ประมวลผลเกิดในช่วงมีการโอนสิทธิและหน้าที่ในฐานะผู้อนุญาตจากกรมโรงงานคืนกลับกรมสรรพสามิตในปี 2502 (ยกเว้นโรงงานสุราบางยี่ขัน) ทำให้บริษัทประมวลผลยังคงมีเครื่องกลั่นสุราหรือแอลกอฮอล์อยู่ในโรงงานซึ่งได้เปรียบบริษัทอื่น ๆ ที่ได้รับอนุญาตภายหลังและถูกห้ามการทำสุราขาวหรือวิสกี้ควบคู่กับไวน์เด็ดขาด ดังนั้นปัจจุบันบริษัทประมวลผลจึงมีผลิตภัณฑ์ไวน์และสุราพิเศษตรา "แมวทอง" ขายได้
ต่อมาแม้จะมีการอนุมัติให้รายใหม่อีก 4 รายเข้ามาคือบริษัทเหล้าไวน์ไทย พร้อม ณ อยุธยา ก่านชลวิจารณ์ และบริษัทบุญฤกษ์ แต่ปรากฏว่าทั้งสี่รายไม่ได้ทำ
ในปี 2517 มีการเปิดเสรีให้ยื่นขออนุญาตตั้งโรงงานผลิตสุราผลไม้และสุรากลั่นเพิ่มขึ้นมากนับ 17 ราย แต่ปรากฏว่ามีการขอสละสิทธิ์บ้าง ไม่ตอบรับบ้างและไม่อาจก่อสร้างโรงงานได้เสร็จ จึงเหลือผู้ได้รับอนุญาตขณะนี้เพียง 6 รายคือ บริษัทประมวลผลบริษัทกรุงเทพไทยจำเริญ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัทที.ซี.ไวเนอรี่ (ผู้ผลิต "สปายไวน์คูลเลอร์" ซึ่งอยู่ในเครือกระทิงแดงของเฉลียว อยู่วิทยา) บริษัทโรงงานสุราพิเศษสุวรรณภูมิ บริษัทสุราไทยเดิม (1987) บริษัทซีแกรม (ประเทศไทย) และบริษัทซันฟูดส์ ซึ่งเดิมชื่อ หจก.ไทยสายธาร ทำไวน์ส่งออกขายต่างประเทศเท่านั้น
จะเห็นว่าทั้งหกบริษัทนี้ มีบริษัทโรงงานสุราพิเศษสุวรรณภูมิเพียงรายเดียวเท่านั้น ที่ผลิตบรั่นดีที่เหลือทั้งห้าส่วนใหญ่ทำเหล้าไวน์ซึ่งมีกรรมวิธีการผลิตง่ายและใช้เวลาน้อยกว่ากันมาก
เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ณรงค์ โชคชัยณรงค์คงถูกหาว่า "บ้า" ที่คิดจะสร้างบรั่นดีไทย "รีเจนซี่" ขึ้นมาในยุทธจักรน้ำเมานี้ เพราะกระบวนการผลิตบรั่นดีเป็นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ที่ถ่ายทอดกันหลายชั่วคนต้องพิถีพิถันตั้งแต่คัดเลือกพันธุ์องุ่นชั้นดีที่ปลูก และเก็บเกี่ยวในภูมิอากาศเหมาะสมและผ่านการกลั่นและบ่มรสชาติให้นุ่มนวลเปรียบประดุจน้ำทิย์ที่สวรรค์บรรจงสร้าง กว่าจะได้แต่ละหยาดหยดต้องใช้เวลานานไม่ต่ำกว่า 2-3 ปี และทุกปีการระเหยระหว่างเก็บบ่อมจะเกิดขึ้นเป็นการสูญเสียที่แพงมากแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งสวนทางกับธุรกิจที่มีหลักการแสวงหากำไรสูงสุดในเวลาอันรวดเร็ว เพื่อให้บรรลุจุดคุ้มทุน
แต่ณรงค์ไม่ย่นย่อท้อ โชคดีเป็นของเขาเมื่อได้รู้จักกับผู้เชี่ยวชาญชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งซ่งเคยมีประสบการณ์ในบริษัทบรั่นดีเก่าแก่ของฝรั่งเศส เมื่อปลดเกษียณแล้วก็คิดจะตั้งโรงงานทำบรั่นดีในเวียดนาม แต่ภัยสงครามเวียดนามที่คุกรุ่นอยู่ ทำให้แผนการของเขาต้องล้มเลิกไป และณรงค์ก็ได้ผู้รู้นี้มาวางรากฐานการผลิตบรั่นดีในโรงงาน
การผลิตบรั่นดีรีเจนซี่เริ่มต้นแรกเป็นเหล้าองุ่นอันเกิดจากการผสมผสานขององุ่นพันธุ์ไวท์มะละกาซึ่งมีสีเขียวอมเหลือง นิยมปลูกกันมากในแถบลุ่มแม่น้ำแม่กลองในเขตตั้งแต่จังหวัดสมุทรสงคราม สามพราน นครปฐมและราชบุรี เหล้าองุ่นที่ได้จะมีดีกรี 10-12 เท่านั้น หลังจากผ่านกระบวนการกลั่นทีละหยุดในห้องกลั่นซึ่งประกันอัคคีภัยไว้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทความรุนแรงของบรั่นดีจะเพิ่มสูงถึง 40 ดีกรี ดังนั้นบรั่นดีที่กลั่นเพียงครั้งเดียวจะมีความรุนแรงและมีสรรพคุณเป็นยา จึงต้องนำไปเก็บบ่มรสชาติ 2-3 ปี ให้รสชาตินุ่มนวลลงในถังไม้โอ๊กลีมูซีน, ซึ่งเป็นไม้ชนิดเดียวที่ให้กลิ่นหอมและสีทองของบรั่นดี
"ขณะนี้เรามีถังไม้โอ๊กต์เกิน เพราะมีโรงงานเหล้าแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาเลิกกิจการ ณรงค์เขาได้ติดต่อขอซื้อตัวถังไม้โอ๊กนี้ และมาจ้างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนี้มาต่อและขึ้นถังเหล่านี้ให้ใช้ในโรงงาน ดังนั้นเราขยายกำลังผลิตเพิ่มขึ้นก็ไม่มีปัญหานี้" แหล่งข่าวเล่าไว้ฟังถึงช่างสุราที่มาทำงานนี้ บริษัทต้องจ่ายไปราว 78,000 บาท

ระหว่างที่รอเวลาเก็บบ่มบรั่นดีรีเจนซี่นับ 3 แสนลิตรอยู่นั้น บริษัทมีแต่รายจ่ายนับสิบ ๆ ล้านบาท สถานะทางการเงินของบริษัทตกอยู่ในภาวะลำบาก การเพิ่มทุนขยายหุ้นไม่เป็นผลสำเร็จ ทำให้ณรงค์ต้องเป็นผู้รับซื้อหุ้นเองและหาเงินทองจากญาติพี่น้องเพื่อนฝูงมาดำเนินการ
ในที่สุด พ.ต.อ.อรรณพ พุกประยูรซึ่งบุกเบิกกิจการมาตั้งแต่ต้นก็ลาออกในปี 2518 โดยได้รับโบนัสเป็นหุ้นจำนวน 50 หุ้น ๆ ละ 1 หมื่นบาท มูลค่า 5 แสนบาทถ้วน
เมื่อณรงค์เข้ามาเป็นกรรมการผู้จัดการ เขาได้กำหนดแผนการตลาดของบรั่นดีรีเจนซี่ขึ้นโดยมีที่ปรึกษาเป็นไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติ ซึ่งสนใจอุตสาหกรรมการเกษตรเป็นผู้ร่วมคิด
ในฐานะ NEW COMER อย่างบรั่นดีรีเจนซี่บริษัทเล็ก ๆ แห่งนี้ได้กำหนดจุดแข็งของรีเจนซี่อยู่ที่คุณภาพ ซึ่งณรงคืเชื่อมั่นมากเพราะได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญกรมสรรพสามิตว่ามีคุณภาพสูงกว่าบรั่นดีต่างประเทศยี่ห้อ "สไตร๊ฟ" (STRIVE) ตอนนั้นปริมาณบรั่นดีรีเจนซี่ที่เก็บไว้ในโรงงานมีอยู่ 3 แสนลิตรและ ณรงค์ได้รอจังหวะออกจำหน่ายในเทศกาลตรุษจีน
ส่วนราคาจำหน่ายณรงค์ก็กำหนดนโยบายให้ผู้ขายปลีกมีกำไรมาก ๆ และทุ่มงบส่งเสริมการตลาดด้วยการแจกแถมแก้วและปฏิทิน รวมทั้งการทำตลาดในกรุงเทพฯ บริษัทจะจัดจำหน่ายเอง ส่วนตลาดต่างจังหวัดนั้นปล่อยเป็นหน้าที่ของเอเยนต์แต่ละจังหวัด
ค่าจัดการเพื่อให้แผนการตลาดเปิดตัวรีเจนซี่ในระยะเริ่มต้น บริษัทต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาทอัดให้ตลาดยอมรับสินค้าใหม่ตัวนี้ให้ได้
แต่ในยุทธจักรน้ำเมานี้ ผลประโยชน์มีมากมายมหาศาลนับหมื่นล้าน การเกิดของรีเจนซี่จึงต้องเผชิญการขัดขวางจากผู้เสียประโยชน์ หนึ่งในวิธีที่จะดึงให้แผนนี้ล่าช้าลงไปก็คือ การดึงเกมการผลิตขวดบรรจุขององค์การแก้วให้ช้าลง
โดยลักษณะขวดบรรจุรีเจนซี่จะถูกออกแบบให้แตกต่างกว่าขวดเหล้าบรั่นดีต่างประเทศซึ่งเป็นขวดรูปน้ำเต้าผิวทรายสีเขียวขุ่น แต่เนื่องจากกรรมวิธีการผลิตทำยาก ณรงค์จึงเลือกขวดใหญ่แบบใส และมีจุกเป็นเกลียวแทนที่จะเป็นจุกไม้ก๊อกเพราะมีปัญหาเรื่องความไม่พอดีของหัวขวดที่เป่า
ความแตกต่างของขวดบรรจุรีเจนซี่นี้ในระยะแรกผู้บริโภคไม่ยอมรับ และติถึงความไม่ได้มาตรฐานของจุกเกลียวที่ไม่สามารถเก็บกลิ่นและรสที่ดีได้ ทำให้รสชาติไม่เหมือนของนอก และจุกเกลียวจะหวานหรือคับเกินไป
ณรงค์ต้องจ่ายเงินกว่า 2 ล้านบาทเป็นค่าผลิตขวดและอีก 3 แสนกว่าบาทเป็นค่าจุกก๊อกในระยะเริ่มต้น
เมื่อนำบรั่นดีรีเจนซี่ออกสู่ตลาดในต้นปี 2519 ขณะนั้นมีบรั่นดีต่างประเทศหลายสิบยี่ห้อ ปรากฏว่า "รีเจนซี่" แทบจะไร้คนมอง เป็นเวลา 6-7 ปี ที่ณรงค์แทบกระอักเลือกเพราะปัญหาขายไม่ออก
แต่ณรงค์เป็นคนที่ตัดสินใจทำอะไรสักอย่างหนึ่งและตกลงใจจะดำเนินการแล้ว ถึงจะประสบความล้มเหลวในระยะแรกเริ่ม เขาก็ไม่เปลี่ยนแปลงความคิดให้เป็นอื่น
เมื่อขายรีเจนซี่ไม่ได้เลย ณรงค์ก็ตั้งใจว่าจะใช้เวลาเก็บบ่มที่นานขึ้นนี้ทำให้บรั่นดีวี.เอส.โอ.พี. กลายเป็นบรั่นดีคุณภาพระดับสูงที่เรียกว่า "เอ็กซ์โอ"
ตลาดบรั่นดีมีอยู่สองกลุ่ม โดยตลาดหลักคือบรั่นดีในกลุ่มวี.เอส.โอ.พี. (VERY SUPERIOR OLD PALE) ครองยอดขายถึง 85% ในขณะที่ตลาดบรั่นดีระดับเอ็กซ์โอ EXTERA OLD ซึ่งราคาแพงกว่านั้นมีส่วนแบ่งเพียง 10 กว่า%
ยิ่งทิ้งเวลาเก็บบ่มในถังไม้โอ๊กนานวัน ความร้อนแรงก็จะลดลงตามกาลเวลา กล่อมเกลาให้รสชาตินุ่มละมุนคอ ดังนั้นการผลิตบรั่นดีจึงเป็นเรื่องที่รีบเร่งไม่ได้ และณรงค์ก็มีสายป่านยาวเพียงพอที่จะทำเช่นนี้
"ผมเคยพาฝรั่งไปดูโรงงาน ซึ่งสะอาดมากณรงค์เขาก็บอกว่าบรรจุขวดครั้งเดียว หลังจากนั้นก็ไม่ได้ทำอีกเลยเพราะขายไม่ได้" ผอ.กรมสรรพสามิตชัยยันต์ โปษยานนท์เล่าให้ฟังถึงอดีตอันแสนลำบากของรีเจนซี่กว่าจะมีวันนี้ได้
รีเจนซี่เริ่มมาเป็นที่รู้จักและมีคนดื่มบ้างในราวปี 2525 เป็นปีที่ณรงค์ยอมทุ่มงบส่งเสริมการตลาดเต็มที่ณรงค์ได้ออกบรั่นดีรีเจนซี่จำนวน 2,252 ขวดตามปี พ.ศ. ที่ครบวาระเฉลิมฉลองกรุงเทพ 200 ปี แต่ละขวดจะมีหมายเลข บรรจุลงในกล่องกระดาษสวยงามขายในราคาขวดละ 2,500 บาท
ปรากฏว่าคนซื้อกันเป็นของที่ระลึกเก็บไว้หมดเพราะรีเจนซี่รุ่นนี้จะมีรสชาติอร่อยนุ่มนวล เท่ากับบรั่นดีเอ็กซ์โอที่เก็บบ่มไว้นานตั้งแต่รุ่นแรกเลย
ถึงกระนั้นยอดขาดของรีเจนซี่ตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมาก็ยังอยู่ในระดับไม่เกินร้อยละ 4 ของบรั่นดีในตลาด ซึ่งนับว่าน้อยนิดมาก จนถึงปี 2528-29 ยอดขายเริ่มพุ่งสูงขึ้น ในภาวะที่วงการสุรากำลังระส่ำระสายจากนโยบายรัฐ เช่นมีการขึ้นอัตราภาษีเบียร์จากลิตรละ 14 บาท เป็น 28 บาทในปี 2528 ทำให้ราคาขายปลีกของเบียร์ปรับสูงขึ้น ขณะที่ศึกยักษ์ใหญ่ระหว่างแม่โขงกับหงส์ทองก็หนักหนาสาหัสทั้งคู่
จุดแข็งทางการตลาดของรีเจนซี่ก็คือราคาจำหน่าย รีเจนซี่ไม่ได้ขึ้นราคามานานนับตั้งแต่เริ่มออกขายราคาขายปลีกขวดใหญ่ตกขวดละ 170-180 บาท เมื่อเทียบคุณภาพและราคากับบรั่นดีจากต่างประเทศ จะต่างกันถึงขวดละ 500 บาท ประกอบกับสุราไทยอย่างแม่โขงขยับราคาขึ้นเป็นขวดละ 80-90 บาท และเหล้าตระกูลหงส์ขึ้นราคาเดือนละไม่ต่ำกว่าสองครั้งในปี 31 ทำให้ราคาประมาณขวดละ 65-70 บาท
บรรดาคอเหล้าจึงเริ่มหันมานิยมดื่มรีเจนซี่มากขึ้น เพราะมั่นใจว่าเป็นของแท้ไม่ปลอมปน เมื่อดื่มแล้วไม่เกิดอาการเมาค้างและตาแฉะตอนเช้า ซึ่งนับเป็นคุณสมบัติที่เด่นของรีเจนซี่ สะท้อนถึงพฤติกรรมของคอสุราที่มีมาตรฐานสูงขึ้นเพราะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นจากการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจ
จากการสำรวจความนิยมของคอสุราฝรั่งพบว่า กลุ่มที่ชอบดื่มบรั่นดีที่เป็นนักธุรกิจนั้นชอบดื่มบรั่นดี "เฮนเนสซี่" มากเป็นอันดับหนึ่งและรองลงมาคือ เรมี่ มาร์แตง และอันดับสาม คือคามุสและเรมี่ มาร์แตง ปัจจุบันตลาดบรั่นดีที่นำเข้าจากประเทศฝรั่งเศลมีปริมาณปีละ 180,000 ลังคิดเป็นมูลค่าถึงพันล้านบาท
"เหล้ารีเจนซี่เขาให้องุ่นเป็นส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้กากน้ำตาลหรือที่เรียกว่าโมลาส ขณะที่เหล้ายี่ห้ออื่นใช้เพราะต้นทุนถูกเพียงตันละ 400-500 บาท แต่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ของเราไม่บังคับ รัฐบาลสนใจจะเอาแต่ภาษีมาก ๆ เท่านั้น แม่โขงกว่าจะเข้าไปขายในอเมริกาตั้งนาน ต้องเปลี่ยนสูตรก่อน" แหล่งข่าวจากกรมสรรพสามิตเล่าให้ฟัง
นอกจากนั้นพฤติกรรมการดื่มบรั่นดีของคนไทยก็นิยมดื่มแบบวิสกี้คือผสมโซดากับน้ำ และจากการสำรวจ จะพบว่านักธุรกิจไทยอาวุโสที่มีอายุระหว่าง 30-40 ปีขึ้นไปจะนิยมดื่มมาก โดยเฉพาะในโอกาสสำคัญ ๆ ทำให้ความถี่ของการดื่มเป็นเดือนละครั้ง
ปีทองของรีเจนซี่ฉายแสงเรืองรองตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา รีเจนซี่ขายดีมาก ยอดขายพุ่งสูงปีละไม่ต่ำกว่า 30-40% พอถึงปี 2531 รีเจนซี่ก็ประสบปัญหาของขาดตลาด เนื่องจากปัญหาการขยายกำลังผลิตไม่ทัน และปัญหาการกักตูนสินค้าของเอเยนต์และร้านค้า แม้จะมีการตักเตือนจากบริษัทแล้วก็ตาม ทำให้รีเจนซี่ถีบราคาสูงขึ้นปีละครั้ง จากราคาขายปลีกขวดใหญ่ 175 บาท เขยิบราคาเป็น 190 บาท จากนั้นเพิ่มขึ้นเป็น 230 บาท เท่านั้นยังไม่พอขึ้นราคาอีกเป็น 290 บาทและในปี 2533 ราคาก็ขึ้นถึง 320-350 บาท ขณะที่ขวดขนาดกลาง (ขวดแบน) ราคาขวดละ 120 บาท และขนาดเล็กซึ่งขายได้บ้างในภัตตาคารราคาขวดละ 70-80 บาท
"นโยบายต้องการให้ผู้ขายปลีกได้กำไรมาก แต่เท่าที่ตกลงกับเอเยนต์ไว้คือเขาจะรับราคาขายส่งจากโรงงาน 190 บาทซึ่งเป็นราคาที่ยืนมานานแล้ว และเอาไปขายในราคา 220 บาทและร้านค้าปลีก ก็น่าจะขายประมาณ 240-250 บาท ซึ่งเราอยากให้เขามีกำไรช่วงละ 20-30 บาท" ผู้บริหารในบริษัทกล่าวถึงกลยุทธ์ด้านราคา ซึ่งราคาขายส่งยืนไว้นานในราคาขวดใหญ่กลมละ 190 บาทขนาดกลาง 95 บาทและ ขนาดเล็ก 52 บาท
รีเจนซี่สู้ด้วยแผนล้อมกรอบตลาดคู่แข่งในลักษณะยุทธศาสตร์ป่าล้อมเมืองยอดขายในภาคอีสานจะพุ่งสูงขึ้นเป็นอันดับหนึ่ง เพราะพลเมืองหนึ่งในสามของอีสานนิยมดื่มเหล้ามากที่สุด รองลงมาก็คือภาคกลางได้แก่จังหวัดชลบุรี
จำนวนเอเยนต์ของรีเจนซี่ที่มีอยู่จังหวัดละแห่งนั้น โคราช ถือว่าเป็นจังหวัดที่ได้รับโควตามากที่สุดเพราะขายดีมากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ยกเว้นกรุงเทพฯ ที่บริษัทจัดจำหน่ายเอง
สาเหตุที่โคราชขายได้มากที่สุดเพราะเป็นจังหวัดใหญ่ที่มีกองทัพทหารและคนจรผ่านมาก ขณะที่ทางภาคเหนือเช่นเชียงใหม่ ยอดขายรีเจนซี่จะตกอยู่ในอันดับที่ 5-10 เพราะรสนิยมและค่านิยมคล้ายคนกรุงเทพ
ช่วงไตรมาสที่สองในปี 2533 รีเจนซี่เกิดปัญหาภายในกับเอเยนต์ใหญ่หลายจังหวัดในภาคอีสานซึ่งเป็นขุมทองของรีเจนซี่ ทำให้คู่แข่งอย่างประมวลผลซึ่งมีเหล้าเอ็กซ์โอ แมวทองสามารถดึงเอเยนต์เหล่านี้มาร่วมงานได้
เมื่อณรงค์ได้ขอให้เอเยนต์ทุกจังหวัดวางเงินค้ำประกันสัญญาหรือที่ภาษาจีนเรียก "แตะเต้ย" ในอัตราโหลละ 5 พันบาท (เมื่อไม่เป็นเอเยนต์จะคืนเงินนี้ให้) ซึ่งคาดว่าจะได้เงินประมาณ 100 ล้านโดยอ้างเหตุผลถึงความจำเป็นต้องนำเงินไปใช้ขยายกำลังผลิต เป็นเงินช่วยค่าบ่มซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 3 ปีกว่าจะนำออกขายได้
ปรากฏว่าเอเยนต์ส่วนใหญ่พร้อมหนุนช่วยเพื่อให้สามารถขยายกำลังผลิต เพราะในปี 32 ขายดีมากจนร้านค้าปลีกต้องเข้าคิวจองแต่ไม่มีของให้ แต่เอเยนต์ก็ต่อรองเรื่องว่าขอให้บริษัทระงับการควบคุมราคาขายส่งของเอเยนต์
ตรงนี้เป็นจุดให้พวกค้าส่งในต่างจังหวัดที่ไม่เข้าใจ รีบตักตวงโดยการขึ้นราคาขาย ประเภทสิบเบี้ยใกล้มือเอาไว้ก่อน ส่วนค่าบ่มที่ทางบริษัทเก็บก็ถือว่าได้คืนก็ดี ไม่ได้คืนก็ไม่เป็นไร
"สมัยก่อนณรงค์ต้องวิ่งเอาเหล้ามาฝากขายตามร้าน โดยไม่เก็บเงินสดก่อน แต่พอขายดีแล้วจะมาเก็บเงินสด อย่างนี้ได้ดีแล้วลืมตัว" อดีตเอเยนต์เล่าให้ฟัง
เหตุความขัดแย้งในผลประโยชน์ได้เกิดปะทุขึ้นเมื่อเอเยนต์รายใหญ่สุดของรีเจนซี่ที่โคราชคือ คีเซ่งเฮงได้เป็นหัวเรือต่อต้านการเก็บค่า "แตะเต้ย" จนในที่สุดความสัมพันธ์อันยาวนานนับ 17 ปีระหว่างคีเซ่งเฮงกับบริษัทก็มีอันขาดสะบั้นลง คีเซ่งเฮงเลิกเป็นเอเยนต์
"หลังจากเถ้าแก่คีเซ่งเฮงซึ่งรักกับณรงค์มากเหมือนญาติคนหนึ่ง แกตายแล้วความสัมพันธ์ไม่ค่อยราบรื่น พอมีเรื่องเงินแตะเต้ย ทางคีเซ่งเฮงเขาก็ต่อต้าน ก็มีการเชิยมาคุยหลายรอบแต่ก็ยังไม่เข้าใจเพราะมีความคิดอยู่อย่างเดียวว่ามาไถเงิน เมื่อคุยกันไม่รู้เรื่อง ในที่สุดเขาก็บอกว่า เขาไม่เป็นเอเยนต์แล้ว" แหล่งข่าวในบริษัทเล่าให้ฟัง
ปัจจุบันอีสานการสุราเป็นเอเยนต์ในตัวเมืองโคราช มียอดขายขวดใหญ่เดือนละ 1,400 โหล ประกอบด้วยขนาดขวดกลม 400 โหล ขนาดแบน 900 โหลและขนาดกั๊ก 1,600 โหล ราคาขายส่งขวดใหญ่ขวดละ 215-220 บาท ขวดแบน 100 บาทและขวดกั๊ก 55 บาท
อีสานการสุราเคยถูกกลุ่มร้านค้าอาหาร และเครื่องดื่มนครราชสีมา ทำหนังสือร้องเรียนผ่านหอการค้าจังหวัดให้เป็นตัวแทนตรวจสอบพฤติกรรมไม่ชอบมาพากล โดยทำการขึ้นราคารีเจนซี่จากราคาปกติอีก 5% ทั้งนี้โดยบวกเข้าไปในบิลสั่งซื้อสินค้าทุกใบ ๆ ละ 540 บาท โดยอ้างว่าเป็นคำสั่งจากโรงงาน
"ในช่วงที่ผ่านมารีเจนซี่ไม่พอขาย รับมาถึงวันเดียวก็หมด จนลูกค้าบ่นว่าทำไมไม่ขอโควตาเพิ่มจากบริษัทซึ่งเราก็บอกว่าเพิ่มไม่ได้เพราะกำลังผลิตมีจำกัด ส่วนปัญหาขึ้นราคามาจากต้นทุนค่าขนส่งเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องขึ้นราคาอีก 5%" ชั้น ลลิตเลิศวงศ์ ผจก.บริษัทอีสานการสุราเล่าให้ฟัง
ความเติบใหญ่ของรีเจนซี่ที่มียอดขายพุ่งสูงเกือบพันล้านบาทนั้น จำเป็นต้องแตกตัวเองออกไป แต่ยุทธศาสตร์การเติบโตไม่ได้ขยายไปในแนว BACKWARD INTEGRATION หรือจะทำแบบครบวงจรตั้งแต่การปลูกองุ่นจำนวนนับหมื่น ๆ ไร่เองจนกระทั่งถึงการผลิตและการขาย แต่ณรงค์แตกตัวกิจการไปเป็นบริษัททางการตลาด นั่นคือบริษัทรีเจนซี่ บรั่นดีไทยที่ตั้งขึ้นในปี 2532
"เป็นบริษัทที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำแบบดีทแฮล์มหรือบอร์เนียวทำ โดยเราจะเอาสินค้าเกี่ยวกับน้ำมาขาย ไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่มหรือนำเข้าเหล้านอกมาขาย เพราะตามร้านค้าส่งเขาก็ทำอย่างนี้อยู่แล้ว เช่นจะเอารีเจนซี่กี่โหลเขาก็พ่วงเหล้านอกไปด้วย แต่พอมาเจอปัญหาเรื่องขยายกำลังผลิตไม่ได้ตอนนั้น ก็ต้องชะงักไป คุณณรงค์บอกว่าให้ทำทีละอย่างก่อน เพราะตอนนี้มาร์เก็ตแชร์รีเจนซี่ยังน้อย มันถูกเบียดตกเวทีได้ง่าย" ไกรฤทธิ์ บุณยเกียรติเล่าให้ฟัง
อย่างไรก็ตาม จากงบกำไรขาดทุนของบริษัทรีเจนซี่ บรั่นดีไทยในปี 2533 ปรากฏว่ามีรายได้จากการขาย 925 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 19 ล้านบาท
เนื่องจากคนหันมาดื่มบรั่นดีรีเจนซี่มากขึ้นตั้งแต่ปี 2531 ยอดขายพุ่งถึง 500 ล้านบาท ทำให้ส่วนแบ่งตลาดของเหล้าไทย ทั้งแม่โขง หงส์ทองและสุราปรุงพิเศษแสงโสมเหรียญทอง ต้องกระทบกระเทือน แม้จะเป็นเหล้าคนละประเภทก็ตาม
แต่ราคาที่ห่างกันไม่มากเหมือนก่อนและคุณภาพของรีเจนซี่นั้นดีกว่า ทำให้เหล้าแสงโสม เหรียญทองนั้นได้รับผลสะเทือนอย่างมาก จนต้องเลิกผลิต แล้วหันไปผลิตสุราปรุงพิเศษแสงทิพย์ซึ่งรสชาตินุ่มคอกว่าขึ้นมาแทน
การขยายกำลังผลิตของรีเจนซี่เป็นเรื่องที่ยักษ์ใหญ่จับตาและพยายามปิดล้อมมิให้เกิดขึ้นได้ทุกวิถีทาง แต่งานนี้รีเจนซี่ต้องสู้ยิบตาเพื่อพยายามขยายกำลังผลิตให้ได้แม้จะถูกกดดันทางการเมืองก็ตาม
นับตั้งแต่ปี 2519 ที่บริษัทโรงงานสุราพิเศษสุวรรณภูมิได้รับอนุมัติการส่งเสริมจากบีโอไอให้ลงทุนผลิตบรั่นดีปีละ 1.5 แสนลิตร ต่อมาในปี 2527 บีไอโออนุมัติให้ขยายกำลังผลิตบรั่นดีได้อีกปีละ 9 แสนลิตร พร้อมกับผลิตไวน์จากองุ่นได้อีกปีละ 2 แสนลิตร โดยบีโอไอตั้งเงื่อนไขว่ารีเจนซี่ต้องเปิดการผลิตในส่วนขยายภายในวันที่ 20 กันยายน 2532 งานนี้บริษัทต้องใช้เงินทั้งสิ้น 159 ล้านบาท
ณรงค์ได้ซื้อที่ดินสำหรับการก่อสร้างโรงงานผลิตไวน์จำนวน 50 ไร่ และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 80 ล้านบาทแต่ยังมีปัญหาเรื่องการคัดเลือกพันธุ์องุ่นซึ่งอยู่ระหว่างโครงการศึกษาของกรมวิชาการเกษตร ครั้งหนึ่งในปี 2522 พล.อ.เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ก็เคยเดินทางไปอเมริกาและขอพันธุ์องุ่นจากบริษัทซีแกรมมาทดลองปลูกในไทย
แต่เมื่อบริษัทได้ยื่นขอใบรง.4 หรือใบอนุญาตประกอบกิจการโรงงานส่วนขยาย เกมธุรกิจการเมืองก็เล่นงาน เมื่อกระทรวงอุตสาหกรรมในสมัยประมวลสภาวสุเป็นรัฐมนตรีว่าการครั้งแรก ไม่ออกใบอนุญาตให้
ณรงค์ยื่นเรื่องอุทธรณ์เมื่อวันที่ 31 มิถุนายน 2532 ช่วงนั้นมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรี บรรหาร ศิลปอาชาเป็นรมว.สั่งเบรกโครงการนี้อีก และได้ออกบันทึกห้ามตั้ง ห้ามขยายโรงเหล้า ยกเว้นเบียร์โดยอ้างว่าเป็นการคุ้มครองบริษัทสุรามหาราษฎรซึ่งจ่ายผลประโยชน์ทั้งค่าสิทธิและค่าภาษีแก่รัฐ
แต่อุปนิสัยที่สู้ไม่ถอยของณรงค์ทำให้เขาทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีและรมว.อุตสาหกรรมอีกครั้ง ภายหลังมีการเปลี่ยนแปลงผู้บริหารประเทศครั้งใหญ่จากการปฏิวัติของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(รสช.)
ครั้งนี้ณรงค์ไม่ผิดหวัง เพราะวีระ สุสังกรกาญจน์ ที่เคยถูกการเมืองเรื่องเหล้าเล่นงานถึงกับต้องเด้งจากปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และหวนคืนกลับมาใหม่เป็นรมช.อุตสาหกรรมมีไว้กับบริษัทสุรามหาราษฎรนั้นเป็นคนละประเภทกัน
"ผมเองเห็นว่าเหล้าที่ทำจากองุ่นเป็นคนละตลาดกับเหล้าที่ทำจากกากน้ำตาลและข้าวเหนียวอยู่แล้ว ปริมาณเหล้าจากองุ่นเพียงปีละ 3 ล้านลิตรเท่านั้น แต่เหล้าจากกากน้ำตาลมีถึง 400 ล้านลิตร" วีระเปิดเผย
ข่าวนี้เอาคนในบริษัทสุรามหาราษฎรปั่นป่วนพอควร และได้ออกกระแสข่าวต่อต้าน โดยอัดข้อมูลเกี่ยวกับความได้เปรียบเสียเปรียบเชิงภาษีระหว่างโรงงานสุราพิเศษเอกชนกับของรัฐ
ข้ออ้างของสุราราษฎร์มีว่า บริษัทเอกชนไม่มีภาระผูกพันที่ต้องส่งรายได้ให้แก่รัฐเป็นราย
เดือนหรือรายปี และไม่มีอัตราภาษีตามมุลค่าขณะที่สุราโรงงานของรัฐต้องจ่ายภาษีมูลค่า (ADVALOREM TAX) 35% และเบียร์ 50% แต่บรั่นดีรีเจนซี่จ่ายภาษีรวม (LUMSUM TAX) ทั้งสิ้นเพียง 10% นั่นคือขายจากโรงงานขวดละ 220 บาทจะเสียภาษีเพียงขวดละ 24.21 บาทเท่านั้น และขายปลีกขวดละ 260-350 บาท ยังอ้างว่าบางแห่งสูงถึงขวดละ 350 บาท
"ถ้าหากจะขยายโรงงานสุราเอกชนหรือขยายกำลังผลิตโดยไม่มีทางเลือกแล้ว ขอให้รัฐพิจารณาให้โรงงานสุราของรัฐทำสุราได้ทุกดีกรีและทุกชนิด รวมทั้งสุราพิเศษ ไวน์และอื่น ๆ ด้วย ไม่ใช่ทำแต่สุราพื้นเมืองประเภทสุราขาว-ผสมและปรุงพิเศษ รวมทั้งขอให้จำหน่ายได้ทั่วประเทศ และอายุสัญญาควรจะเป็น 30-50 ปีหรือไม่มีเลย ทั้งนี้เพื่อให้เก็บบ่มสุราได้ตามสุราต่างประเทศ" ข้อเสนอตอบโต้ของสุรามหาราษฎรระบุไว้เช่นนี้
นี่คือข้อเรียกร้องของบริษัทผูกขาดสัมปทานของรัฐ ซึ่งถ้าคิดว่าเสียเปรียบมากก็น่าจะปล่อยให้คนอื่นเข้ามาทำแทนก็สิ้นเรื่อง แทนที่จะอ้างเรื่องโรงบ่มซึ่งสร้างไม่เสร็จสักที โดยรัฐบาลบีบบังคับอะไรไม่ได้ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับนายทุนผูกขาด
"ผมน่ะยกธงขาวมานานแล้ว เหล้าพวกนี้เหรอผมทานทีเดียวก็เลิกเลย เรื่องโรงบ่มเราไม่มีอำนาจบังคับ เพียงแต่รับฟังเขาเล่าว่า เขาจะทำโรงบ่ม 9 แห่ง 3,800 ล้านบาท เขาเล่าให้ฟังแต่เขาไม่ได้ให้รัฐ เราฟังแล้วก็สลดใจไปกับความก้าวหน้าของเขา" เป็นถ้อยคำประชดเล็ก ๆ โดยส่วนตัวของวีระ สุสังกรกาญจน์ ที่ส่งผ่านถึงเจ้าของสุรามหาราษฎร์และสุราทิพย์
ในที่สุดสงครามครั้งนี้ รีเจนซี่ก็ชนะ หลังจากกระทรวงอุตสหกรรมผ่านเรื่องให้แล้ว ทางกรมสรรพสามิตก็ได้พิจารราและขออนุมัติจากกระทรวงการคลังเป็นอันสำเร็จเรียบร้อย
อย่างไรก็ตาม นโยบายทางด้านภาษีสุราต่างประเทศ ซึ่งไทยถูกกดดันจากเกตต์ให้จัดระบบที่มีความเป็นธรรมให้เสร็จทันธันวาคม ปี 2534 นี้ เพื่อรองรับการเปิดเสรีการนำเข้าสุราต่างประเทศ เป็นศึกครั้งใหญ่อีกยกหนึ่งที่จะมีผลกระทบถึงบรั่นดีรีเจนซี่
"จะต้องมีการปรับฐานภาษีของเหล้าในประเทศและเหล้าที่นำเข้าให้อยู่ในฐานเดียวกัน สิ่งที่ต้องคำนึงถึงคือเหล้านอกจะต้องเสียภาษีอากรขาเข้า (อากรศุลกากร) ประมาณ 30% ของราคาซี.ไอ.เอฟ เพราะฉะนั้นฐานภาษีใหม่จะต้องทำเป็นแพ็คเกจใหม่หมด" ผู้ใหญ่ในกรมสรรพสามิตเล่าให้ฟัง
เดิมสุราต่างประเทศจะเก็บภาษีโดยเฉลี่ยขวดละ 64 บาทและเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการเพิ่มภาษีอากรแสตมป์เป็น 128 บาทสำหรับสุราขวดขนาด 750 ซีซี โดยไม่ได้แยกประเภทสุราหรือราคาจำหน่ายสูงต่ำแต่อย่างใดส่วนสุราในประเทสจะเสียภาษีแบบเหมาจ่าย โดยรวมภาษีกับค่าผลประโยชน์ตอบแทนหรือค่าสิทธิไว้ด้วยกัน
ที่ผ่านมา รีเจนซี่สามารถทดแทนตลาดเหล้านอก ซึ่งเดิมเคยครองตลาดได้ถึง 70% ขณะที่รีเจนซี่ครองตลาดได้แค่ 30% แต่ยอดขายปี 2532 รีเจนซี่ขายได้ถึง 1.42 ล้านลิตร ขณะที่บรั่นดีต่างประเทศมียอดขายเพียง 9.49 แสนลิตร
ในที่สุดบรั่นดีหลากหลายยี่ห้อจากต่างประเทศที่เข้ามาแล้วก็ต้องจากไป จะมีก็แต่บรั่นดีรีเจนซี่ที่ต้องอยู่ตลอดไปเพราะเป็นของคนไทย เป็นกรณีตัวอย่างของการบากบั่นมุมานะจนมีวันนี้ได้ เมืองไทยน่าจะส่งเสริมให้มีบริษัทที่มีแบบฉบับของการริเริ่มสร้างสรรค์เช่นนี้มาก ๆ
   

เจริญ สิริวัฒนภักดี

การไล่ซื้อที่ดินของเจ้าพ่อเบียร์ช้าง "เจริญ  สิริวัฒนภักดี" ที่เชียงใหม่ ไม่ใช่ข่าวใหม่ และดูเหมือนไม่ใช่เรื่องตื่นเต้นเท่าใดนัก เพราะนิสัยช่างซื้อของเขาเริ่มมาตั้งแต่ปี 2530 เหตุผลของการซื้อที่ดินในยุคแรก เพื่อเป็นที่ระบายของเสียจากโรงเหล้า 12 โรงในต่างจังหวัด ในจังหวัดอยุธยา - อ่างทองและสุพรรณบุรี


 


ช่วงฟองสบู่เริ่มพองช่วงปี 2530 กลุ่มของเจริญ ก็กว้านซื้อที่ดินขนาดใหญ่นับพันนับหมื่นไร่ทั่วประเทศ โฉนดล้นตู้เซฟ หรือบางทีแทบจำที่ดินตัวเองไม่ได้ กระทั่งถามซื้อที่ดินตัวเองก็มี


  


หลังจากนั้นกรุ่นกลิ่นที่ดิน - อสังหาริมทรัพย์เริ่มหอมหวล "เจริญ" เริ่มขยายไลน์ซื้อกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียลของอากร ฮุนตระกูล ซึ่งมีโรงแรมในเครือ 7 แห่ง ในปี 2537 และเริ่มกว้านซื้อที่ดินในประเทศมากขึ้น


 


ไม่เพียงแค่นั้น ในปี 2540 ยังข้ามห้วย ข้ามฟ้าไปซื้ออาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ที่ฮ่องกงมูลค่า 4,000 พันล้านบาท และโรงแรมพลาซ่า แอทธินี ที่นครนิวยอร์ก มูลค่า 1,750 ล้านบาท เพื่อสนองความต้องการทางธุรกิจที่ดูเหมือนไม่สิ้นสุด และการรุกไปสู่เวทีตลาดสากลมากขึ้น ด้วยกลยุทธ์การ "ซื้อ" และ " Take Over" เช่นเดิม 


 


ก้าวเดินทางธุรกิจของ "เจริญ สิริวัฒนภักดี" จึงเป็นตำนานของนักธุรกิจไทยที่ต้องถูกบันทึกไว้ พร้อมกับฉายามากมาย ไม่ว่าจะเป็น  1.) นักซื้อที่แท้จริง 2.) มหาเศรษฐีเจ้าพ่อน้ำเมา 3.) จอมยุทธ์วิชามารผู้เหยียบหิมะไร้รอย 4.) ผู้ยิ่งใหญ่วงการที่ดินตัวจริง อย่างไรก็ตามก็มีคนสรุปว่า เขาคือนักเลงที่ดินตัวจริงที่กล้าได้กล้าเสีย!


 


กรณีของการทุ่มซื้อที่ดินในจังหวัดเชียงใหม่ เป็นที่น่าสังเกตว่าลำดับการซื้อของเขา มีแผนที่จะซื้อผืนดินแปลงใหญ่ไปครอบครอง อันเป็นที่ตั้งของแหล่งท่องเที่ยวอันดับต้น ๆ ของเชียงใหม่ นั่นคือย่าน "ไนท์บาร์ซาร์" และย่านถนนช้างคลาน กระทั่งปัจจุบันปฏิเสธไม่ได้ว่าที่ดิน - อสังหาริมทรัพย์ในย่านนั้นมากกว่า 50%มีเงาของ "เจริญ" ทาบอยู่เบื้องหลัง


 


เหตุผลของการ "ซื้อ" ที่ดินและอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ และปรัชญาในการดำเนินธุรกิจของ "เจริญ" เป็นที่น่าวิเคราะห์ว่ามีเบื้องหลังของการตัดสินใจอย่างไร 1.) การเป็นเมืองนายกฯ 2.) นโยบายของรัฐบาลให้เชียงใหม่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจภูมิภาค ทั้งทางด้านการท่องเที่ยว , ไอซีทีซิตี้ และการเป็นศูนย์กลางทางการบิน 3.) การปั่นราคาที่ดิน 4.) การซื้อ เพื่อต้องการ "ซื้อ" และครอบครองเบ็ดเสร็จ ฯลฯ


 


เหตุผลที่แท้จริงเป็นเช่นไร!!?


 


เปิดตำนานจอมซื้อ


เจาะขุมทรัพย์เจริญ


 


แหล่งข่าวในวงการธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผย "พลเมืองเหนือ" ว่า พื้นที่ย่านไนท์บาร์ซาร์และตลอดแนวถนนช้างคลาน ถือเป็นย่านใจกลางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่ และพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นเป้าหมายของนักลงทุนหลายรายที่จะนำเม็ดเงินมาลงทุนอีกมหาศาล โดยเฉพาะกลุ่มทุนรายใหญ่ระดับประเทศที่ต้องจับตามองมากเป็นพิเศษคือ กลุ่มของนาย "เจริญ สิริวัฒนภักดี" เจ้าของธุรกิจเบียร์ช้าง เจ้าของกลุ่มสุรามหาราษฎร์ และธุรกิจอีกมากมายนับไม่ถ้วน ที่รุกการลงทุนมายังจังหวัดเชียงใหม่ตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว


 


แหล่งข่าว กล่าวว่า ระยะ 10 ปีที่ผ่านมา กลุ่มของ "เจริญ" มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะการหมายมั่นจับธุรกิจหลักในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและอสังหาริมทรัพย์ การขยายการลงทุนเข้ามาในจังหวัดเชียงใหม่ของ "เจริญ" เริ่มตั้งแต่การขยายเครือข่ายโรงแรมอิมพีเรียล ด้วยการทุ่มเงินกว่า 500 ล้านบาท ซื้อโรงแรมแม่ปิงเดิมจากกลุ่มคาร์เปทอินเตอร์เนชั่นแนล เจ้าของพรมไทปิง ตั้งแต่ปลายปี 2531 แม้โรงแรมนี้จะไม่ได้อยู่บนถนนช้างคลาน แต่ก็จัดอยู่ในโซนใกล้เคียงกับไนท์บาร์ซาร์ และถือเป็นโรงแรมที่มีชัยภูมิที่ดีอีกแห่งหนึ่งของจังหวัดเชียงใหม่


 


ทั้งนี้ อาจกล่าวไม่ผิดว่าการขยายตัวในด้านการลงทุนของกลุ่ม "เจริญ" มีแผนครอบครองที่ดินและธุรกิจย่านไนท์บาร์ซาร์อย่างเบ็ดเสร็จและครบวงจร หากจะไล่เรียงตั้งแต่หัวถนนช้างคลาน ซึ่งทั้งสองฟากฝั่งถนน ล้วนแต่มีธุรกิจของ "เจริญ"แทบทั้งสิ้น เริ่มจากเมื่อปลายปี 2547 เข้าเทคโอเวอร์ศูนย์สรรพสินค้าเชียงอินทร์พลาซ่า ของตระกูล "กิตติบุตร" แลนด์ลอร์ดรายใหญ่ของเมืองเชียงใหม่ ศูนย์สรรพสินค้าดังกล่าว มีขนาดพื้นที่ประมาณ 20,000 ... โดยแผนของ "เจริญ"ต้องการพัฒนาศูนย์สรรพสินค้าแห่งนี้ให้เป็นศูนย์การค้าที่ทันสมัย รองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุง


 


ส่วนด้านฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นห้าง ".การค้า 3" ที่เป็นลักษณะอาคารพาณิชย์ 6 ชั้นจำนวนกว่า 10 คูหา ซึ่งกลุ่มของ"เจริญ" ก็ให้ความสนใจค่อนข้างมาก และเจ้าของก็เสนอขายให้ในราคา 150 ล้านบาท 


แหล่งข่าวกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้พื้นที่ด้านหลังของ ส.การค้า ยังมีธุรกิจเกสต์เฮ้าส์ชื่อว่า "กาแลเกสต์เฮ้าส์" ที่เป็นของกลุ่มนายเจริญ ด้วยเช่นกัน


 


ถัดมาบริเวณฝั่งตรงข้ามโรงแรมสุริวงศ์ ซึ่งมีพื้นที่แปลงสวยผืนเดียวจำนวนประมาณ 4 ไร่ ที่กลุ่มของเจริญ ได้ซื้อเก็บไว้นานแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างเป็นโรงแรมและคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่สูง 29 ชั้น คาดว่าจะใช้ชื่อ "เลอเมอริเดียน เชียงใหม่" ซึ่งในส่วนของโรงแรมจะมีจำนวนห้องพักประมาณ 400 ห้อง วางตำแหน่งให้เป็นโรงแรมระดับห้าดาว โดยดึงเชนเมอริเดียนเข้ามาบริหาร ในส่วนของคอมเพล็กซ์ ได้ถูกวางไว้ให้เป็นศูนย์รวมสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ทันสมัย โดยจะดึงห้างสรรพสินค้าชื่อดังของญี่ปุ่นเช่น "ZEN" เข้ามาให้บริการด้วย มูลค่าการลงทุนทั้งหมดของโครงการนี้อยู่ที่ประมาณ 3,000 ล้านบาท ซึ่งอาจจะยังไม่รวมมูลค่าที่ดิน ที่มีราคาประมาณอยู่ระดับ 6 - 7 หมื่นบาทต่อตารางวา คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ราวปลายปี 2550


 


พื้นที่โซนถัดจากห้าง ส.การค้า ระยะไม่ไกลกันเท่าใดนักคือ "กาแลไนท์บาร์ซาร์" ก็เป็นของนายเจริญด้วยเช่นกัน ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวแบ่งเช่าขายอาหารและรับฝากรถ และถัดมาคือตลาดอนุสารมีพื้นที่รวมประมาณ 15 ไร่ ที่ตกเป็นของนายเจริญ อีกเช่นกัน โดยเขาทุ่มเงินก้อนโตกว่า 600 ล้านบาท ซื้อที่ดินแปลงงามดังกล่าวซึ่งเป็นมรดกอันเก่าแก่ของตระกูล"นิมมานเหมินท์" สำหรับการบริหารจัดการที่ดินบริเวณตลาดอนุสาร กลุ่มของเจริญ มีแผนปรับโฉมแนวธุรกิจใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เหมือนกับถนนข้าวสารที่กรุงเทพฯ เน้นให้เป็นแหล่งจับจ่ายซื้อหาสินค้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยเฉพาะ


 


แหล่งข่าว กล่าวต่อว่า นอกจากนี้พื้นที่บริเวณมุมสี่แยกดวงตะวัน ซึ่งปัจจุบันเป็นอาคารพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ศูนย์รวมสินค้าไอทีครบวงจรแหล่งใหญ่ของเชียงใหม่ ก็เป็นธุรกิจของนายเจริญอีกเช่นกัน โดยกลุ่มของนายเจริญ ได้ตัดสินใจซื้อที่ดินผืนดังกล่าวที่เป็นหลักทรัพย์หลุดจำนองของธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) มีเนื้อที่กว่า 4 ไร่ พร้อมอาคารร้างที่ยังสร้างไม่เสร็จ ด้วยราคาประมาณ 220 ล้านบาท จากนั้นได้ลงทุนแปลงโฉมอาคารร้างดังกล่าวให้เป็นพันธุ์ทิพย์พลาซ่า สาขาเชียงใหม่ พื้นที่ภายในอาคารประมาณ 22,000 ตารางเมตร ด้วยมูลค่าการลงทุนราว 400 ล้านบาท


 


ขณะเดียวกัน กลุ่มของเจริญ ยังไม่หยุดขยายการลงทุนเฉพาะย่านไนท์บาร์ซาร์เท่านั้น โดยขณะนี้ได้เข้าเทคโอเวอร์ "สุริวงศ์พลาซ่า" ที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับประตูท่าแพ ซึ่งเป็นธุรกิจของนางเยาวเรศ ชินวัตร น้องสาว พ...ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่หมายจะให้เป็นศูนย์สรรพสินค้าของคนมีระดับกระเป๋าหนัก แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จ  ซึ่งกลุ่มของเจริญวางแผนปั้นโฉมอาคารดังกล่าวให้เป็นเกสต์เฮ้าส์ชั้นดี รองรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ สาเหตุที่จะปรับโฉมให้เป็นเกสต์เฮ้าส์ ก็เนื่องจากพื้นที่บริเวณดังกล่าวไม่มีพื้นที่สำหรับจอดรถมากเพียงพอ


 


นอกจากพื้นที่โซนช้างคลาน ไนท์บาร์ซาร์และท่าแพแล้ว กลุ่มของเจริญ ยังขยายอาณาเขตการลงทุนไปในพื้นที่รอบนอกเขตเมืองเชียงใหม่ โดยเทกโอเวอร์เชียงใหม่สปอร์ตคลับ ที่อำเภอแม่ริม พื้นที่ประมาณ 76 ไร่ มาตั้งเดือนมกราคม2546 ด้วยมูลค่าการซื้อขายประมาณ 300 ล้านบาท และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นโรงแรมอิมพีเรียลแม่ริม ซึ่งจุดแตกต่างของโรงแรมแห่งนี้คือ ทำเลที่ตั้งอยู่ติดแม่น้ำปิง บรรยากาศเหมาะแก่การพักผ่อน มีสถานออกกำลังกายที่ครบครันทันสมัย



"ไนท์บาร์ซาร์" - "เจริญซิตี้"


 


แหล่งข่าว กล่าวอีกว่า การลงทุนของเจริญ เล็งพื้นที่ปักหมุดการลงทุนในย่านไนท์บาร์ซาร์เป็นหลัก เนื่องเพราะอาจเป็นหลักการทำงานของเขาที่เมื่อลงทุนธุรกิจใดก็ตามแล้วต้องการเห็นผลให้เร็วที่สุด ซึ่งการลงทุนบนย่านใจกลางเศรษฐกิจจึงน่าจะเป็นการลงทุนที่เล็งผลเลิศได้เป็นอย่างดี และมีโอกาสผิดพลาดน้อย ผนวกกับอัตราการเติบโตของย่านไนท์บาร์ซาจะมีสูงมากอย่างแน่นอนในอนาคต ประกอบกับการเป็นคนกล้าได้กล้าเสีย และมองความเป็นไปได้ของธุรกิจได้ขาด และธุรกิจโรงแรมนับเป็นธุรกิจที่กลุ่มเจริญมีประสบการณ์และมีความชำนาญในการ บริหารมาเป็นเวลายาวนาน


 


และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า การที่จังหวัดเชียงใหม่ถูกวางให้เป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของประเทศ เป็นแรงหนุนให้ภาคธุรกิจมีโอกาสเติบโต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเป็นเมืองหลักด้านการท่องเที่ยว ซึ่งย่อมเกี่ยวโยงอย่างแยกไม่ออกกับธุรกิจบริการและโรงแรม


 


ดังนั้น การเข้ามายึดพื้นที่ในหลายทำเลบนถนนช้างคลานย่านไนท์บาร์ซาร์ของเจริญ จึงเป็นการวางเกมทางธุรกิจที่มีทิศทางที่ชัดเจน เพราะ ณ เวลานี้ พื้นที่ย่านนี้คือพื้นที่เศรษฐกิจที่สำคัญของเชียงใหม่ ดังนั้น โอกาสทางธุรกิจของเจริญจึงน่าจะมีความเป็นไปได้ค่อนข้างสูง หากสินค้าที่มีอยู่ในสองกำมือของเขาสามารถสนองความต้องการของตลาดได้อย่างแท้จริง


 


อย่างไรก็ตาม การอ่านเกมการลงทุนของเจริญอาจไม่ง่ายอย่างที่ใครๆ คิดว่า จะต้องปลุกกระแสการฟื้นภาคอสังหาริมทรัพย์ตามนโยบายของรัฐบาล หากแต่มีแง่มุมที่น่าคิดตามนิสัยของนักธุรกิจที่มองการลงทุนเป็นความรู้สึกและความไม่แน่นอนทางการตลาด เจริญไม่ได้คิดแค่หมากเพียงแค่เกมเดียว หากแต่มองเกมหลายชั้นทางธุรกิจ และการขยายอาณาเขตด้วยการไล่ซื้อที่ดินบริเวณไนท์บาร์ซาร์เป็นอาณาจักรของตนเอง บั้นปลายคือ การผูกขาดของเกมธุรกิจที่ไม่ต่างกับความคิดที่เบียร์ช้างจะครอบครองตลาดนานา


ชาติ หรือความเป็นอินเตอร์ ดังนั้น กรณีที่เจริญกำลังจะสร้าง "เจริญซิตี้" เป็นเพียงแค่เกมธุรกิจที่จะครอบครองขุมผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของเชียงใหม่ และการกุมหัวใจของการท่องเที่ยวของเชียงใหม่เบ็ดเสร็จให้อยู่ในมือของเจริญ แค่นั้นเอง.


 


 


กว่าจะเป็น "เจริญ สิริวัฒนภักดี"


 


ก่อนเป็นเจริญในวันนี้ "เจริญ ศรีสมบูรณานนท์" เปลี่ยนนามสกุลเป็น "สิริวัฒนภักดี " เมื่อปี 2530 เดิมมีชื่อจีนว่า "เคียกเม้ง แซ่โซว " เกิดเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2487 ที่ย่านทรงวาด ซึ่งเตี่ยของเขายึดอาชีพขายหอยทอดเลี้ยงลูก 11 คน เจริญใช้เวลา 8 ปีเรียนจบ ป.4 ที่โรงเรียนเผยอิง บุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตน แต่เป็นคนมีไหวพริบทางการค้า


 


ใครจะรู้ว่าอภิมหาเศรษฐีเบอร์ 1 ของเมืองไทย เคยรับจ้างเข็นรถส่งของแถวสำเพ็งและทรงวาด หาบเร่ขายของตามฟุตบาธ เป็นลูกจ้างร้านย่งฮะเส็ง และห้างแพนอินเตอร์ที่จัดส่งของโรงงานสุราบางยี่ขัน หลังจากเก็บเงินทองได้ก็เริ่มต้นเปิดกิจการร้านโชวห่วย ขายเหล้าแม่โขง ธุรกิจเติบโตจนสามารถสร้างตึกแถวได้


 


 


เจริญแต่งงานกับวรรณา แซ่จิว ลูกสาวของกึ้งจู แซ่จิว (Chou Chin Shu) เศรษฐีเก่าชาวจีน ที่รวยเงียบๆ กับธุรกิจซัพพลายโรงงานสุราบางยี่ขัน ที่ซึ่งเจริญทำงานเป็นลูกน้องคนสนิทของเถลิง เหล่าจินดา ในบริษัทสุรามหาคุณได้ด้วยบารมีของอดีตนายกสมาคมแต้จิ๋ว "คุงเคียม แซ่โซว " ที่ฝากฝังให้


 


ปี 2525 กรมสรรพสามิตออกคำสั่งอนุญาตให้ขนสุราข้ามเขตได้ กลุ่มเถลิง-เจริญ ตักตวงความร่ำรวยจากโอกาสทองนี้ ร่วมกันก่อตั้งบริษัทจำนวนมาก โดยร่วมกับผู้มีอิทธิพลทางการเมืองเช่น พงศ์ สารสิน ในนามบริษัทต่างๆ ที่เกี่ยว ข้องกับสุราและอสังหาริมทรัพย์ เช่น บริษัท ทีซีซีที่ดินและการเคหะ บริษัทพงศ์เจริญการลงทุน (ต่อมาเปลี่ยนเป็นบริษัทเจริญวรรณกิจ) บริษัทสุราทิพย์ บริษัททีซีซี บริษัททีซีซีธุรกิจ โดยทุกบริษัทต้องมีชื่อพ่อตาคือกึ้งจู แซ่จิว ด้วย


 


ในชีวิตของเจริญที่เปลี่ยนไปเป็นมหาเศรษฐีน้ำเมา มีคนสองคนที่เจริญ ต้องระลึกถึงตลอดเวลา 2 คน คือ พ่อตาของเขา กึ้งจู แซ่จิว และอีกคนคือ เถลิง เหล่าจินดา


 


ยุคต้นๆ เจริญได้สนใจลงทุนซื้อหุ้นธนาคารอย่างเงียบๆ จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นสำคัญในธนาคารนครหลวงไทย ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารเอเชีย และธนาคารศรีนครด้วย โดยซื้อในนามบริษัท ชลิตลาภ ไทย- สิริวัฒน์ สุริวงศ์คอมเพล็กซ์ และบริษัทพรวิเศษ


 


ปี 2531เจริญซื้อหุ้นบริษัทอาคเนย์ประกันภัย 39.5% จากนรฤทธิ์ โชติกเสถียร และถือหุ้นใหญ่ 53% (ปี 2537) ของบริษัท อินทรประกันภัย (เดิมอินเตอร์ไลฟ์ประกันชีวิตและประกันภัย)


 


ตั้งแต่ปี 2530 เป็นต้นมา นับเป็นปีที่อาณาจักรของเจริญขยายตัวอย่างหนักและรวดเร็ว มีสินทรัพย์เติบโตอย่างมาก จากการซื้อธุรกิจกลุ่มธนาคาร กิจการอุตสาหกรรม อสังหาริมทรัพย์ ซื้อหุ้นและที่ดินซึ่งทำในนามบริษัท ที.ซี.ซี.ทรัพย์สินเจริญ ซึ่งตั้งขึ้นในปี 2524 เดิมชื่อบริษัท ที.ซี.ซี.ที่ดินและการเคหะ มีสินทรัพย์เป็นที่ดินทั้งหมด ชนิดตู้เก็บโฉนดปิดไม่ลงทีเดียว


 


เหตุผลของการซื้อที่ดินในยุคแรก เพื่อเป็นที่ระบายของเสียจากโรงเหล้า 12 โรงในต่างจังหวัด เช่นที่อยุธยาจนถึงอ่างทองและสุพรรณบุรี แต่ในช่วงปี 2530 ที่เศรษฐกิจไทยเริ่มบูม กลุ่มของเจริญกว้านซื้อที่ดินขนาดใหญ่นับพันนับหมื่นไร่ เช่นที่ บ้านบึงจำนวน 2,000 ไร่ต่อจากเถลิง เหล่าจินดา ที่ดินประมาณหมื่นไร่ที่ชะอำ บ้านท่ายาง


 


ส่วนที่กรุงเทพฯ กลุ่มเจริญได้ซื้อที่ดินสำนักงานใหญ่ ขนาด 492 ตารางวา ธนาคารสหธนาคารที่ปลายถนนเยาวราช ที่บรรเจิด ชลวิจารณ์ ตกลงขาย 120 ล้านบาท


 


นอกจากนี้เจริญซื้อโครงการเสนานิเวศน์ ในนามบริษัท สยามพัฒนา ขนาด 400 ไร่จากชวน รัตนรักษ์ อดีตประธานธนาคารกรุงศรีอยุธยา โดยผ่อน ชำระยาว 15 ปี


 


ส่วนการซื้อโครงการพันธุ์ทิพย์พลาซ่า ของบริษัทไพบูลย์สมบัติ ของตระกูลบุนนาค ที่ติดจำนองกับธนาคารไทยทนุและบงล.ภัทรธนกิจ 500 ล้านบาท โดยได้ที่ดินอีก 5 แปลงของบริษัทไพบูลย์สมบัติมาด้วย คือ ที่ดินแปลงตลาดเก่าเยาวราช และที่ดินอีก 55 ไร่ข้างโกดังอี๊สต์เอเชียติ๊ก บริเวณวัดพระยาไกร (ดูตารางที่ดินส่วนหนึ่งของเจริญ)


 


ปี 2537 เจริญได้ซื้อกลุ่มโรงแรมอิมพีเรียลของอากร ฮุนตระกูล ซึ่งมีโรงแรมในเครือ 7 แห่ง เช่น อิมพีเรียล อิมพาล่า สุขุมวิท 24 อิมพีเรียลควีนส์ปาร์ค สุขุมวิท 22 อิมพีเรียลธารา แม่ฮ่องสอน ปัจจุบันโรงแรมอิมพีเรียลที่ถนน วิทยุได้กลายเป็นโรงแรมระดับห้าดาว พลาซ่าแอทธินี


ปี 2538 และ 2539 ซื้อโรงแรมภูแก้วรีสอร์ทที่เขาค้อ จ.เพชรบูรณ์ราคา 260 ล้านจากบุญชู โรจนเสถียร โครงการซิตี้รีสอร์ทที่เชียงใหม่ และโรงแรม โกลเด้น ไทรแองเกิล วิลเลจ ที่เชียงราย จากไพโรจน์ เปี่ยมพงศ์สานต์


 


ในปี 2540 เจริญได้ซื้ออาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ที่ฮ่องกงมูลค่า 4,000 พันล้านบาท และยังข้ามไปซื้อโรงแรมพลาซ่า แอทธินี ที่นครนิวยอร์ก มูลค่า 1,750 ล้านบาท


 


ส่วนการซื้อโรงงานน้ำตาลชลบุรี ถือเป็นสินทรัพย์ที่เสริมแขนขาของธุรกิจสุรา เพราะโมลาสที่โรงน้ำตาลใช้เป็นวัตถุดิบชนิดหนึ่งในการผลิตเหล้า ต่อมาได้ซื้อโรงน้ำตาลแม่วัง และโรงน้ำตาลในอุตรดิตถ์ และสุพรรณบุรีด้วย


 


นอกจากนี้ยังเทกโอเวอร์โรงงานอุตสาหกรรมกระดาษบางปะอิน เพื่อผลิตกล่องกระดาษบรรจุภัณฑ์สุราและเบียร์ในเครือด้วย


 


ปี 2534 ยุคที่รัฐบาลอานันท์ ปันยารชุน เริ่มนโยบายเปิดเสรีสุราและ เบียร์ เจริญได้ร่วมทุนกับบริษัทคาร์ลสเบอร์ก ประเทศเดนมาร์ก ตั้งบริษัท คาร์ลสเบอร์ก บริวเวอรี่ (ประเทศไทย) ที่อยุธยา มีกำลังผลิตประมาณ 100 ล้านลิตรต่อปี นอกจากนี้ ยังผลิตเบียร์ตราช้างที่มีกลยุทธ์การตลาดที่มีเอเย่นต์ทั่วประเทศแบบ "ขายเหล้าพ่วงเบียร์ " และปูพรมทุ่มทุนมหาศาลด้านโฆษณาประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง


 


ปี 2542 ยุคเปิดเสรีสุราหลังหมดยุคสัมปทานช่วงสุดท้ายของกลุ่มสุรามหาราษฎร (ปี 2523-2542) กลุ่มสุราค่ายสุราทิพย์ของเจริญ ชนะประมูลโรงงานสุราบางยี่ขัน 2 โดยบริษัทสราญชัย ประมูลสูงถึง 5,885 ล้านบาท ขณะที่ค่ายบุญรอดบริวเวอรี่เสนอเพียง 2,544 ล้านบาท


 


กลุ่มธุรกิจสุราของเจริญ แบ่งออกเป็น 4 กลุ่มหลัก ได้แก่


1.กลุ่มธุรกิจเหล้า ได้แก่ บริษัทสุรามหาราษฎร (มหาชน) กลุ่มโรงเหล้าสุราทิพย์ 11 แห่ง กลุ่มโรงเหล้าสุรามหาทิพย์ 9แห่ง บริษัทสุรากระทิงแดง (1988) ที่บริษัทแสงโสมถือหุ้น 25% ของหุ้นเพิ่มทุน 3,000 ล้านบาท และบริษัทยูไนเต็ดไวน์เนอรี่ที่แสงโสมถือหุ้น 25%


 


2.เป็นบริษัทใหม่ที่เพิ่งตั้งขึ้นหลังเปิดเสรีสุรา ได้แก่ บริษัทกลุ่ม 43 ที่ประกอบด้วย 5 บริษัทในเครือ คือ บริษัทสราญชัย บริษัท กาญจนสิงขร บริษัทแก่นขวัญ บริษัทมงคลสมัย และบริษัทนทีชัย


 


3.บริษัทโฮลดิ้งคอมปานีที่เป็น nominee ให้กับกลุ่มแสงโสม ในการถือหุ้นบริษัทในเครือ เช่น บริษัทเทพอรุโณทัย และบริษัทอธิมาตร


 


4.เป็นบริษัทด้านจัดจำหน่ายของกลุ่มบริษัทแสงโสม มีบริษัทใหม่อีก 16 บริษัท


 


ทั้งนี้ อาณาจักรธุรกิจของเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ขยายไปด้วยการซื้อกิจการมากมายและต่อเนื่องไม่จบสิ้น เช่น ปี 2544เทกโอเวอร์บริษัทเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ด้วยมูลค่า 5,532.2 ล้านบาท


เหตุผลที่ซื้อเบอร์ลี่ฯ เพื่อต้องการซื้อกิจการบริษัทอุตสาหกรรมทำเครื่องแก้วไทย ซึ่งจะผลิตขวดบรรจุป้อนอุตสาหกรรมเบียร์และสุราของกลุ่มเจริญได้เต็มที่ และเบอร์ลี่ ยุคเกอร์ ก็เป็นบริษัทผู้จัดจำหน่ายรายใหญ่ที่เก่าแก่ที่สุดของไทยด้วย


 


ความใหญ่ในธุรกิจสุรา ทำให้เขามีโอกาสซื้อกิจการบริษัท อินเตอร์เฮ้าส์ ดิสทิลเลอร์ส ผู้ผลิตและจำหน่ายสุราในสกอตแลนด์และยุโรปด้วยเงินไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท


 


กลางปี 2545 เจริญ สิริวัฒนภักดี ได้อยู่เบื้องหลังการซื้อลิขสิทธิ์ถ่ายทอดฟุตบอลโลก 2002 ด้วยมูลค่า 300 ล้านบาท โดยการถ่ายทอดสดจากสนามแบบไม่มีโฆษณาคั่น ได้สร้างความนิยมเชิงการตลาด ที่มีผลต่อสินค้าเบียร์ ตราช้างอย่างเห็นชัดเจน